วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ต้นกำเนิดHipHopมาจากไหนงั้นหรอ ถ้าอยากรู้ ก็ ลองมาอ่านดูเลยละกัน


Hip Hop เป็นการเคลื่อนตัวของวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง โดยสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของ HIP HOP culture ที่คนทั่วโลกต่างรู้จักผ่านสิ่งนี้ ก็คือ Hip Hop music

จุดเริ่มมาจากพวก African American และพวก Latino ใน South Bronx ช่วงปลายยุค 1970s' และมีการเริ่มของกระแสหลักในช่วง 1980 - 1990 จากนั้น Hip hop culture จึงกระจายไปทั่วโลก ผ่านเสียงดนตรี
เชื่อกันว่าเริ่มต้นมาจากการผลงานของ DJ Kool Herc และเพลงแรกที่เชื่อว่ามีการใช้คำว่า "Hip-Hop" คือ
เพลง "Rappers Delight" ของ The Sugarhill Gang

DJ Kool Herc ซึ่งเป็นชาว Jamaica ที่อพยพมา เป็น DJs ที่ดังที่สุดคนหนึ่งใน New York ช่วงปี 1970 และเล่นในงานปาร์ตี้แบบ block party (เหมือนกับคอนเสิรต์ที่ JayZ กำลังจะทำในไทย) ใน Bronx
ใน Bronx ปี 1973 เขาลองสลับการเล่นเพลงอย่างรวดเร็วจาก reggae records มาเป็น funk, soul และ disco เนื่องจากเห็นว่าคน New York ไม่ค่อยชอบ reggae นัก
เขา และ DJs คนอื่น ๆ พบว่านักเต้นชอบออกมาเต้นในช่วง percussive break ของเพลง เขาจึงขยายช่วงโดยการใช้ audio mixer และ ใช้แผ่น record ถึง 2 แผ่น (เป็นต้นแบบของการเล่นแผ่นในปัจจุบันที่ทุกท่านมักเห็น DJ ใช้กัน)
"B-boy" จึงมีต้นกำเนิดมาจากปาร์ตี้ของ DJ Kool Herc โดยเกิดจากการที่พวกเขามักออกมาเต้นใจช่วง break ของเพลง
ใน ขณะนั้นจึงมีการแข่งขันกันอย่างมากระหว่างเพื่อนของ Herc และคู่แข่ง ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วในเทคนิคการ mixing เพื่อทำให้คนดูชอบตลอดเวลา

เหมือนกับใน Jamaica ระหว่างที่เล่นดนตรีอยู่มักจะมีคนขึ้นมาพูด ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของ MCs (Masters of Ceremonies) และต่อมาก็เรียกกันว่า rappers
ในช่วงแรกนั้น rappers ทั้งหลายมักจะพูดแนะนำตัวเอง พูดถึง DJ หรือคนฟัง โดยมีการร้องอย่างรวดเร็ว มีการ improvisation และมี simple four-count beat พร้อมกับมี simple chorus ต่อมาภายหลัง MCs เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น มีการพูดในเชิงตลกขบขันหรือพูดเกี่ยวกับเรื่อง sex
ถึงแม้ในช่วงนั้นจะ ยังไม่มีการบันทึกเสียง แต่ hip hop music เริ่มเจริญเติบโตด้วยความนิยมสูง จนกระทั่งช่วงปลายยุค 1970 จึงเริ่มกลายมาเป็นดนตรีที่แพร่หลายไปทั่งประเทศอเมริกา
ในช่วงปี 1980 -1990 นี้เองที่ดนตรีแนวนี้เริ่มมาเป็น ดนตรีกระแสหลักในอเมริกา และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ในปี 1992
และเมื่อจบช่วงทศวรรษในช่วงนั้นเอง วัฒนธรรมนี้จึงแพร่หลายไปทั่วโลก



สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือ

-คำว่า HIP HOP music คนต่างชาติจะไม่ค่อยพูดกัน มักจะเรียกกันว่าเป็น rap music มากกว่า
-จะเห็นว่าคำว่า MC มันเกิดขึ้นในการร้องสดในปาร์ตี้ เนื่องจากช่วงนั้นยังไม่การ record เพลง โอกาสจะร้องก็มีแค่ในงาน
พอมีการ record เป็นเพลงในแผ่นแล้วเนื่องจากไม่ได้ฟังสด เอาใครมาร้องก็ได้ จึงเริ่มมีการใช้คำว่า rapper
-block party ได้รับความนิยมสูงในอเมริกาช่วงปี 1970 เป็นการฉลองในที่สาธารณะ แบบไม่เป็นทางการ อาจมีการฉลองด้วยการร้องเพลง
เปิดเพลงและเต้นรำ ปาร์ตี้แบบนี้มักจัดกันแบบ outdoor คนอังกฤษจะเรียกว่า Street party ซึ่งจริง ๆ แล้วมันผิดกฎหมาย
แต่เป็นที่น่าสนใจว่า inner city block parties ก็ผิดกฎหมายกันทั้งหมด แต่ตำรวจก็ทำเป็นไม่เห็น เนื่องจาก เมื่อทุกคน
ใน neighbourhood มารวมตัวกัน ณ ที่แห่ง โอกาสที่เกิดอาชญากรรมในที่ใดก็ตามจะลดลง

credit : By shibatora
http://atcloud.com/stories/33691

ลำดับไอคิวของสุนัข



ลำดับไอคิวหมา รู้หรือเปล่าว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายน่ะ เค้าก็มีสติปัญญาเหมือนกับเราๆ นี่แหละ เพียงแต่ว่าสัตว์แต่ละชนิดอาจจะมีไม่เท่ากัน
และมีความถนัดหรือความสามารถเฉพาะตัวแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสัตว์ชนิดหนึ่งจึงทำอะไรๆ
ได้มากกว่าสัตว์อีกชนิดหนึ่งนั่นแหละ


ขอยกตัวอย่างเช่น เจ้าลิงชิมแปนซี ชิมแปนซีเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก
จะว่าฉลาดที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมดบนโลกนี้ (ยกเว้นมนุษย์) ก็ว่าได้
เคยมีคนทำการทดสอบโดยให้ลิงชิมแปนซีไปทำข้อสอบ Toefl ด้วยซ้ำ
เชื่อมั้ยคะ ว่าเจ้าลิงที่ไม่เคยเรียนหนังสือนี่น่ะ สามารถทำข้อสอบ Toefl
ได้ถึง 400 กว่าคะแนนทีเดียว ซึ่งเป็นคะแนนที่มากกว่าเราๆ บางคนทำได้ด้วยซ้ำ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่ามาตั้งนานเนี่ย
เราไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดถึงไอคิวของลิงชิมแปนซีกันหรอก
แต่เรากำลังจะพูดถึงการจัดลำดับไอคิวสุนัขกันต่างหากล่ะ

ดร.สแตนเลย์ โคเรนท์ แห่งมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย
ในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ได้จัดอันดับไอคิวสุนัข
ตามความสามารถในการเรียนรู้จากการฝึก
สุนัขของคุณจะอยู่อันดับไหน ลองไปดูกันดีกว่า


1. คอลลี่
2. พุดเดิล
3. เยอรมัน เชฟเฟอร์ด
4. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
5. โดเบอร์แมน
6. เชทแลนด์ ชีพด็อก
7. ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
8. ปาปิยอง
9. ร็อตไวเลอร์
10. ออสเตรเลี่ยน แคทเทิลด็อก
11. เวลช์คอร์กี้
12. มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
13. อิงลิช สปริงเกอร์ สแปเนียล
14. เบลเจียนเทอร์เชน
15. เบลเจียนชีพด็อก
16. คอลลี่ คีชอนด์
17. เยอรมัน ชอร์ทแฮร์ พอยเตอร์
18. อิงลิชค็อกเกอร์ สแปเนียล, สแตนดาร์ด ชเนาเซอร์
19. บริตตานี สแปเนียล
20. คอกเกอร์ สแปเนียล
21. ไวมาราเนอร์
22. เบลเจียน มาลิโนส์, เปอร์นีส เมาน์เทนด็อก
23. ปอมเมอเรเนียน
24. ไอรีสวอเตอร์ สแปเนียล
25. วิสซิลล่า
26. คอร์ดิแกน เวลช์ คอร์กี้
27. พูลิ, ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
28. ไจแอนท์ ชเนาเซอร์
29. แอร์เดล
30. บอเดอร์ เทอร์เรีย
31. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
32. แมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย
33. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
34. ฟิลด์ สแปเนียล, นิวฟาวแลนด์, ออสเตรเลียน เทอร์เรีย, เบียร์เด็ด คอลลี่
35. ไอริส เซทเตอร์
36. นอร์วีเจียน เอลค์ฮาวด์
37. ซิลกี้ เทอร์เรีย, มินิเอเจอร์ พินช์เชอร์
38. นอร์วิด เทอร์เรียล
39. ดัลเมเชียน
40. ฟ็อก เทอร์เรีย
41. ไอริช วูล์ฟฮาวด์
42. ออสเตรเลียน เชฟเฟอร์ด
43. ซาลูกิ, ฟินนิช สปิทซ์, พอยเตอร์
44. อเมริกัน วอเตอร์ สแปเนียล
45. ไซบีเรียน ฮัสกี้
46. อิงลิช ฟ็อกซ์ฮาวด์, อเมริกัน ฟ็อกซ์ฮาวด์, เกรย์ฮาวด์
47. สก็อตติช เดียฮาวด์
48. บ็อกเซอร์, เกรทเดน
49. ดัชชุนต์
50. อาลาสก้า มาลามุท
51. วิพเพท
52. โรดีเชียน ริดจ์แบ็ค
53. ไอริช เทอร์เรีย
54. บอสตัน เทอร์เรีย, อากิตะ
55. สกาย เทอร์เรีย
56. นอร์โฟล์ค เทอร์เรีย
57. ปั๊ก
58. เฟรนช์บูลด็อก
59. มอลทีส เทอร์เรีย
60. อิตาเลียน เกรย์ฮาวด์
61. ไชนีส เครสเต็ด
62. เจแปนนีส ชิน
63. โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก
64. เกรท พิเรนี
65. สก็อตติช เทอร์เรีย, เซนต์เบอร์นาร์ด
66. บูล เทอร์เรีย
67. ชิวาว่า
68. ลาซา แอปโซ
69. มาสทิฟฟ์
70. ชิสุ
71. บาสเซท ฮาวด์
72. บีเกิล
73. ปักกิ่ง
74. บลัดฮาวด์
75. บอร์ซอย
76. เชาเชา
77. บูลด็อก
78. บาเซนจิ
79. อาฟกัน ฮาวด์

credit : http://disease.108dog.com/1/4

การแปลงฟันให้กับสุนัข


ยาสีฟันที่จะใช้ในการแปรงฟันให้สุนัขควรจะเป็นยาสีฟันที่ผลิตขึ้นมาให้สัตว์เลี้ยงใช้โดยเฉพาะเพราะสามารถกลืนได้ค่ะ เราไม่ควรใช้ยาสีฟันของคนในการแปรงให้สุนัขเพราะว่ายาสีฟันของคนไม่ได้ผลิตเพื่อให้สามารถกลืนได้


1. เริ่มต้นเราควรที่จะให้สุนัขคุ้นเคยกับการที่มีสิ่งของแหย่เข้าไปในปากของเค้าเสียก่อน โดยการใช้นิ้วมือของเราจุ่มลงไปในน้ำซุบหรืออาหารเปียกของสุนัขก็ได้ เรียกสุนัขให้เข้ามาหาโดยให้เสียงที่ให้ความหมายว่าเรากำลังจะให้ขนมเค้าและปล่อยให้สุนัขเลียน้ำซุบหรืออาหารที่นิ้วมือหลังจากนั้นก็ให้ใช้นิ้วถูไปทั่วๆเหงือกและฟันของสุนัขเบาๆ…หลังจากฝึกขั้นตอนแรกนี้ไปสักระยะนึงสุนัขจะคุ้นเคยและเราสามารถเริ่มขั้นต่อไปได้

2. ใช้เศษผ้าก๊อตพันรอบๆนิ้วมือของเรา (เจ้าของจะจุ่มลงไปในน้ำซุปหรืออาหารแบบขั้นตอนที่ 1ก็ได้) ถูวนเป็นวงกลมไปที่ฟันของสุนัขอย่างเบาๆ ฝึกแบบนี้ซ้ำๆซักระยะนึงจนเมือสุนัขรู้สึกสบายและคุ้ยเคยกับการถูฟันแบบนี้ จำไว้ว่าอย่าลืมที่จะชมเชยสุนัขและควรทำการฝึกให้สนุกสนานรื่นเริงไม่น่าเบื่อ

3. หลังจากสุนัขคุ้ยเคยกับการแปรงฟันโดยผ้าก๊อต เราก็พร้อมที่จะเริ่มกับแปรงสีฟัน เราต้องให้สุนัขคุ้นเคยกันตัวแปรงสีฟัน โดยเฉพาะขนบนแปรงสีฟัน เพราะฉะนั้นเราควรเริ่มโดยการให้สุนัขเลียของที่มีรสชาติ เช่นอาหารเปียก หรือ ซุป บนแปรงสีฟันก่อน

4. เมื่อสุนัขคุ้นเคยกับแปรงสีฟันที่เราจะใช้ เราสามารถเพิ่มยาสีฟันลงไปใช้ได้แล้ว ยาสีฟันสำหรับสัตว์ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นและรสชาติของ ไก่ เป็น ตับ มอลท์ หรือ ฯลฯ ฉะนั้นสุนัขจะชอบรสชาติของยาสีฟัน เราต้องทำให้สุนัขคุ้นเคยกับรสชาติของยาสีฟันโดยการให้สุนัขเลียยาสีฝันบางส่วนจากนิ้วมือของเรา จากนั้นถูนิ้วที่มียาสีฝันไปทั่วๆเหงือกของสุนัขเบาๆ และอย่าลืมชมเชยสุนัขด้วย

5. เมือน้องหมาคุ้นเคยกับแปรงสีฟันและยาสีฟัน เริ่มแรกเราอาจจะแปรงแค่เขี้ยวเด้านบนเขี้ยวดียวหรือทั้งสองเขี้ยวด้านบนของสุนัข เพราะว่านี้เป็นฟันที่ง่ายที่สุดที่จะแปรงจะไปถึงและง่ายต่อการฝึกแปรง ตามข้างต้นเมื่อน้องหมายอมที่จะให้แปรงฟันหลายๆซี่ ให้เราเพิ่มจำนวนฟันในการแปรงอย่างช้าๆ ให้เราพยายามทำเหมือนว่านี้เป็นเกมส์ที่ทั้งคนและสุนัขสนุกไป

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

The Game ft. 50 cent - Hate it or love it



ประวัติส่วนตัวของ The Game

เจเซน เทอแรล เทเลอร์ (อังกฤษ: Jayceon Terrell Taylor) เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 หรือรู้จักกันในนาม The Game เดอะ เกม เป็นแร็ปเปอร์สไตล์ Gangsta Rap ที่ประสบความสำเร็จในการวางขายอัลบัม The Documentary ในปี 2005 และเข้าชิง 2 รางวัลแกรมมี่ และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะแร็ปเปอร์ที่มีปัญหาทะเลาะวิวาท (ฺbeef) ระหว่างแร็ปเปอร์อื่นๆ อีกมากมายอาทิเช่น 50 เซ็นต์ และแร็ปเปอร์ในค่าย G-Unit ที่ไม่ลงรอยกันเรื่องเจตนาของ เดอะ เกม ที่ไม่อยากจะทำงานร่วมกับ G-Unit

เดอะ เกม เกิดที่เมือง ลอสแอนเจลิส ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง Compton เมื่อเขาอายุได้ 4 ปี เขาเติบโตมาภายใต้วัฒนธรรมของเด็กแก๊งค์ จนกระทั่งอายุได้เพียง 13 ปี เขาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกแก็งค์ บลัด (Blood) และเมื่อเขาอายุได้ 18 ปีเขาได้ตามรอยพี่ชายของเขา "Big Fase 100" หัวหน้าแก๊งค์ Cedar Block Pirus คือถูกยิงที่ หัวใจ,ท้อง,แขนและขา ทำให้เขาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 3 วันและระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นเขาได้คิดที่จะเป็นนักร้องมืออาชีพขึ้น

เขาได้อิทธิพลการร้องเพลง Gangsta Rap มาจากนักร้องวง N.W.A. ซึ่งเขาได้ตั้งค่ายเพลงที่ชื่อว่า The Black Wall Street ขึ้นมาและเพลงที่เขาได้ร้องใน Mix Tape เป็นที่ประทับใจของโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Dr.Dre และได้สัญญากับค่ายเพลง Aftermath Entertainment

เดอะ เกม ได้ออกอัลบัมเพลงกับค่ายต้นสังกัดที่ชื่อว่า "The Documentary" ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2004 และมีเพลงติดอยู่บน Billboard 200 อันดับต้นๆ อยู่หลายเพลงเช่น "Hate It or Love It" "How We Do" ซึ่งได้ร่วมร้องกับ 50 เซ็นต์และขายอัลบัมได้ถึง 5 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก แต่แล้ว เดอะ เกม ก็มีปัญหากับค่าย G-Unit จึงต้องถูกไล่ออกจากค่าย G-Unit

หลังจากถูกไล่ออกจากค่าย G-Unit แล้ว เดอะ เกม ได้ตั้งสโลวแกนคว่ำบาตร G-Unit ที่มีชื่อว่า G-Unot และได้แต่งเพลงดูหมิ่น 50 เซ็นต์ไว้มากมายอาทิเช่น "300 Bars and Running" และ 50 เซ็นต์ ได้บอกกล่าวกับนิตยสาร XXL ว่าเขาเป็นคนเขียนเพลงให้เดอะเกมถึง 6 เพลง แต่เดอะเกมปฏิเสธว่า 50 เซ็นต์ช่วยเพียงแค่เล็กน้อย แล้วอ้างว่า เพลงของ 50 เซ็นต์ก็มีคนอื่นๆมาแต่งให้แต่ทำไมพวกเขาไม่เห็นอ้างแบบ 50 เซ็นต์และเดือนตุลาคม ปี 2006 เดอะ เกมได้ถูกกดดันให้ลาออกจากค่าย Aftermath Entertainment

ปี 2006 เดอะ เกมได้ออกอัลบัมใหม่ที่มีชื่อว่า "Doctor's Advocate" ซึ่งสื่อต่างๆ วิจารณ์ว่าดีกว่าอัลบัมแรกและมีเพลงติด Billboard 200 ถึง 3 เพลงอาทิ "One Blood (It's Okay) " เป็นต้น และยังได้ร่วมร้องกับแร๊ปเปอร์ชื่อดังอาทิ คานยี เวสต์ ,สนูป ด๊อก และ วิล ไอ แอม เป็นต้น

เดอะ เกมได้กล่าวกับสื่อว่า อัลบัมต่อไปของเขา (L.A.X.) จะเป็นอัลบัมสุดท้ายของเขา ซึ่งมีผลงานผลออกมาก่อนอัลบัมที่ชื่อว่า "Game's Pain" ซึ่งฮิตติดท๊อปชาร์ต UK Top 100 ในอันดับที่ 14

อันตราย 10 ประการที่คุณไม่รู้จัก : CHIP


คิดว่าระบบของคุณปลอดภัยแล้วหรือ? แฮกเกอร์มือโปรทั้งหลายนั้นรู้ดีว่า จะสามารถเจาะเข้าไปในเครื่องแต่ละเครื่องได้อย่างไรแม้ว่าเครื่องดังกล่าวจะมีชุดโปรแกรมรักษาความปลอดภัยติดตั้งเอาไว้ก็ตาม แต่ถ้าคุณรู้จักวิธีที่พวกเขาใช้ ก็จะสามารถป้องกันตนเองจากการจู่โจมนั้น ๆ ได้ไม่ยาก

แฮกเกอร์จะแอบเข้ามาในเครื่องของคุณ โดยสามารถที่จะผ่านแม้แต่ระบบป้องกันที่ดีที่สุดเข้ามาจนได้ แล้วก็จะเริ่มก่อความเสียหายให้ในที่สุด แฮกเกอร์ทั้งหลายนั้นเริ่มใช้วิธีการที่ก้าวร้าวและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะมีหนทางใหม่ๆ อยู่เสมอในการที่จะแพร่โปรแกรมร้ายเข้าไปในเครื่องของคุณ และถ้าใครที่คิดว่าแค่ Update ล่าสุด โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ดีที่สุด และไฟร์วอลล์ที่แกร่งที่สุด จะทำให้เครื่องของคุณปลอดภัยได้ บอกได้เลยว่าคิดผิดแล้ว กรรมวิธีใหม่ๆ ของแฮกเกอร์และมาเฟียอินเทอร์เน็ตทั้งหลายนั้นได้สร้างปัญหาให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยต่างๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่อย่างน้อยคุณก็สามารถที่จะลดอัตราความเสี่ยงลงได้ CHIP จะแนะนำให้คุณรู้จักกับอันตราย 10 ประการ ที่เราเชื่อว่าหลายคนคงแทบจะไม่เคยได้ยินมันมาก่อน พร้อมทั้งแนะนำวิธีที่ดีที่สุดในการต่อกรกับพวกมันอีกด้วย

1. ช่องว่างในระบบรักษาความปลอดภัยของ Security Suite

ไฟร์วอลล์ โปรแกรมป้องกันไวรัส และโปรแกรมป้องกันสแปมเมล์ เป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่ในคำแนะนำด้านความปลอดภัยสำหรับเครื่องพีซีที่ใช้วินโดว์สเป็นระบบปฏิบัติการ แต่ในขณะเดียวกันพวกมันก็เป็นเสมือนกับบัตรเชิญไปยังมาเฟียอินเทอร์เน็ตทั้งหลายด้วย เพราะในโปรแกรมเหล่านี้จะมีบัก (Bug) อยู่ภายในเช่นเดียวกับในโปรแกรมอื่นๆ ทั่วไป ซึ่งจะกลายเป็นช่องโหว่ให้เจ้าตัววายร้ายต่างๆ สามารถเข้ามาสู่เครื่องของคุณได้ในทันทีที่มีการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต เช่นเพื่อการอัพเดต

จากตัวอย่างของ Blackice Firewall จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความร้ายแรงของข้อผิดพลาดนี้ เมื่อแฮกเกอร์พบช่องโหว่ในระบบรักษาความปลอดภัย พวกเขาก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ทันที โดยส่งเวิร์ม “Witty“ เข้าไปยัง Blackice Firewall ต่างๆ ทั่วโลก ภายในเวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมงมันจะเข้าไปทำลายข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนฮาร์ดดิสก์ของผู้เคราะห์ร้าย

แม้แต่บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Symantec ก็ต้องประสบกับปัญหานี้เช่นกัน อย่างที่แฮกเกอร์คนหนึ่งได้แสดงให้เราเห็นว่า สามารถนำข้อผิดพลาดใน Symantec Antivirus Corporate Edition ไปใช้ได้อย่างไร แค่ชั่วพริบตาเขาก็สามารถที่จะเข้าไปในเครื่องที่ดูเหมือนจะมีการป้องกันเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างง่ายดาย

ทางแก้: การแก้ไขปัญหานี้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตโปรแกรมรักษาความปลอดภัยที่ต้องตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและอุดช่องโหว่เหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที แต่อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรที่จะปิดฟังก์ชัน Online Update ของชุดโปรแกรมรักษาความปลอดภัย ( Security Suite) ของคุณโดยเด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดอื่นๆ ที่อาจจะร้ายแรงกว่าได้ ในขณะที่เรากำลังปิดต้นฉบับอยู่นี้ Symantec ก็ได้ทำการกำจัดบักที่แฮกเกอร์ได้สาธิตให้เราดูออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างไรการป้องกันแบบ 100% นั้นก็คงยังไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน

2. เครื่องพิมพ์อันตรายในระบบเครือข่ายของบริษัท

แฮกเกอร์ยังคงค้นหาจุดอ่อนใหม่ๆ ในระบบเครือข่ายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้ดูแลระบบ (Administrator) ที่ดีจึงไม่ควรที่จะเพิ่มระบบป้องกันแต่เฉพาะบนเซิร์ฟเวอร์และตัวไฟร์วอลล์เท่านั้น แต่ควรจะรวมไปถึงเครื่องไคลเอนท์ต่างๆ ให้ได้มากที่สุดด้วย แต่จุดอ่อนสำคัญอย่างหนึ่งที่มักจะถูกมองข้ามไปได้แก่เครื่องพิมพ์ โดยเครื่องพิมพ์ที่สามารถใช้ในระบบเครือข่ายได้นั้นก็จะเป็นเหมือนเซิร์ฟเวอร์ตัวหนึ่งด้วยเหมือนกัน นั่นหมายความว่า ถ้าใครที่ต้องการจะจู่โจมระบบของคุณ ก็สามารถที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าต่างๆ หรือแม้แต่เข้ายึดครองระบบปฏิบัติการของเครื่องพิมพ์อย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ได้

เมื่อหลายปีที่ผ่านมา Hacker FX จากกลุ่ม Hacker Phenoelit ได้นำข้อมูลและเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้เปิดช่องโหว่ของเครื่องพิมพ์ยี่ห้อ HP ได้ออกมาเผยแพร่ และในปีนี้แฮกเกอร์อีกคนก็ได้แสดงให้เราเห็นถึงพรินเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการดัดแปลงมา ซึ่งบนนั้นจะมี Hacker Tool บางตัวทำงานอยู่แล้วด้วยซ้ำ ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานได้ง่ายขึ้นไปอีก เครื่องพิมพ์ที่ถูกดัดแปลงแล้วนี้จะสามารถส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อย่างเช่น ข้อมูลบัญชีธนาคาร หลักฐานเงินเดือน หรือแม้แต่พาสเวิร์ดกลับไปให้แฮกเกอร์ได้อย่างง่ายดายทุกครั้งที่เหยื่อต้องการพิมพ์ข้อมูลลงบนกระดาษ

ทางแก้ : ความจริงแล้ววิธีการป้องกันในเรื่องนี้นั้นง่ายมาก แค่กำหนดรหัสผ่าน (Password) ที่แข็งแกร่งขึ้นมาใน Configuration Console ของเครื่องพิมพ์หรือการจำกัดสิทธิในการใช้งานก็มักจะเพียงพอแล้ว แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การมองออกไปให้ไกลกว่านั้นอีก เช่นมีอุปกรณ์ใดบ้างที่ต่อเชื่อมกับระบบเครือข่ายของคุณ เพราะทั้งกล้องเว็บแคม เราเตอร์ไร้สาย และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ด้วยทั้งนั้น

3. แค่ไดรฟ์สติ้กก็สามารถเข้ายึดพีซีได้ทุกเครื่อง

ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทุกคนรู้ดีว่าถ้าแฮกเกอร์มาถึงหน้าเครื่องแล้ว แม้แต่การป้องกันที่ดีที่สุดก็จะไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกต่อไป ดังนั้น Terminal สาธารณะต่างๆ อย่างเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด หรือในซูเปอร์มาร์เก็ตจึงมีการปิดกั้นการรับข้อมูลจากภายนอกทั้งหมด เว้นแต่คีย์บอร์ด เมาส์ และจอมอนิเตอร์เท่านั้น แต่แค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว

มีจุดเปราะที่เกิดจากความผิดพลาด (Error Source) อยู่ 2 ประการที่จะเป็นประโยชน์ต่อแฮกเกอร์ได้ ประการแรกคือในซอฟต์แวร์ทุกตัวซึ่งรวมทั้งวินโดว์สด้วย จะมี Keyboard Combination (การกดปุ่มบนคีย์บอร์ดเป็นชุด เช่น Ctrl + Alt + Del) อยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่มีการจดบันทึกไว้ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้ผู้บุกรุกทำอะไรได้หลายๆ อย่างเช่น เปิดรันไดอะล็อกซ์ของวินโดว์สขึ้นมา หรือที่ยิ่งอันตรายไปกว่านั้นก็ได้แก่ Buffer OverFlow ในไดรเวอร์ Plug & Play

ในงานนิทรรศการ Hacker DefCon ที่ Las Vegas เราได้ให้ทดลองจู่โจมเครื่องโน้ตบุ๊กของเราดู ซึ่งการสาธิตนั้นใช้เวลาไปแค่ไม่กี่วินาที แค่แฮกเกอร์นำไดรฟ์สติ้กยูเอสบีที่สร้างขึ้นมาเองมาเสียบเข้ากับเครื่องของเรา จากนั้นในชั่วแค่ไฟกระพริบนิดเดียว วินโดว์สก็จะหยุดทำงานและปรากฏบลูสกรีนขึ้นมาทันที ซึ่งถ้านี่ไม่ใช่แค่การทดสอบ เครื่องของเราก็คงจะมีโทรจันติดมาแล้ว

ทางแก้ : ทางป้องกันที่ดีที่สุดคือปิดหรือถอดพอร์ตที่ไม่ได้ใช้ออกเสีย แต่นั่นก็ไม่สามารถที่จะป้องกันการแอบเชื่อมกับคีย์บอร์ดชั่วขณะของแฮกเกอร์ได้อยู่ดี ดังนั้นวิธีที่ดีกว่านั้นคือใช้โปรแกรมอย่างเช่น Device Wall ของ Contennial Software คอยเฝ้าระวังพอร์ตยูเอสบีทั้งหมด แต่ก็ยังคงต้องรอทดสอบจากการใช้งานจริงต่อไปอีกว่า มันจะใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใด

ความขัดแย้งเรื่อง Blackberry เน้นย้ำให้เห็นถึงประเด็นเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัวในโลกดิจิตัล


รัฐบาลซาอุดิอาระเบียและรัฐบาลสหอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี กำลังขอให้บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์ Blackberry ในแคนาดาอนุญาตให้มีการตรวจสอบข้อความและอีเมล์ที่ส่งผ่าน Blackberry ในขณะที่อินเดียก็เตือนว่าอาจมีการระงับบริการรับส่งอีเมล์และข้อความผ่าน Blackberry เช่นกัน

ซาอุดิอาระเบียและสหอาหรับเอมิเรตส์เรียกร้องให้ บริษัท Research in Motion หรือ RIM ในแคนาดา ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ Blackberry ยินยอมให้มีการตรวจสอบอีเมล์และข้อความที่ผ่านระบบ Blackberry Messenger หรือ BBM ซึ่งเป็นระบบรับส่งข้อความสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ Blackberry ซึ่งว่ากันว่ามีความปลอดภัยสูง และเป็นจุดขายของ Blackberry ไม่เช่นนั้นทั้งสองประเทศอาจมีคำสั่งระงับบริการดังกล่าวของ Blackberry เนื่องจากกังวลเรื่องผลกระทบด้านความมั่นคง

คุณ Ben Wood นักวิเคราะห์แห่งบริษัทเทคโนโลยี CCS Insight กล่าวว่า ความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่าน BBM ถือเป็นจุดแข็งทางการตลาดของ Blackberry แต่อีกด้านหนึ่ง Blackberry ก็ไม่ต้องการได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ หากรัฐบาลของซาอุดิอาระเบียและยูเออีระงับบริการรับส่งข้อความขึ้นมาจริงๆ เรียกว่า ไม่ว่าด้านไหนก็ไม่มีผลดีต่อบริษัท RIM เลย

ในขณะเดียวกัน ทางอินเดียและอินโดนีเซียก็เตือนว่าอาจมีการระงับบริการรับส่งอีเมล์และข้อความผ่าน Blackberry เช่นกัน เพราะกังวลเรื่องความมั่นคงระดับชาติและปัญหาการคุกคามของผู้ก่อการร้าย โดยอินเดียขอให้บริษัท RIM ยินยอมให้มีการตรวจสอบข้อความและอีเมล์ของ Blackberry ก่อนสิ้นเดือนนี้

อินเดียเผชิญกับการโจมตีโดยผู้ก่อการร้ายหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมทั้งเหตุการณ์โจมตีที่นครมุมไบเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 165 คน โดยในครั้งนั้น เชื่อว่าผู้ก่อการร้ายได้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างระบบระบุตำแหน่ง หรือ GPS และโทรศัพท์ระบบดาวเทียมเข้าช่วยในการปฏิบัติงาน

นาวาอากาศโท Ajey Lele แห่งสถาบันการวิเคราะห์และการป้องกันตนเองในกรุงนิวเดลลี ระบุว่า ปัจจุบันกลุ่มก่อการร้ายได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ และอุปกรณ์ทันสมัยเข้าช่วยในการปฏิบัติงาน และโทรศัพท์มือถือ Blackberry ก็เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่อาจนำมาใช้ได้เช่นกัน รายงานข่าวในอินเดียชี้ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการระงับการรับส่งอีเมล์และข้อความผ่านระบบของ Blackberry ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ Blackberry จะสามารถโทรเข้าออกและเข้าอินเทอร์เน็ตได้เท่านั้น แต่ใช้งาน BBM ไม่ได้ ซึ่งนั่นอาจส่งผลให้ผู้ใช้จำนวนมากเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์คู่แข่งอย่าง iPhone หรือ Nokia

อีกด้านหนึ่งรายงานระบุว่า บริษัท RIM ผู้ผลิต Blackberry ได้บรรลุข้อตกลงให้รัฐบาลซาอุดิอาระเบียสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อความที่ส่งผ่าน Blackberry Messenger ได้แล้ว ส่วนรัฐบาลสหอาหรับเอมิเรตส์ได้ให้เวลา RIM พิจารณาเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 11 ตุลาคม

อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเช่นคุณ Leslie Harris แห่งศูนย์เพื่อประชาธิปไตยและเทคโนโลยีในกรุงวอชิงตัน ให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การอนุญาตให้ตรวจสอบข้อมูลหรือข้อความส่วนตัวได้นั้น หมายความว่าอาจเกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค เพราะไม่ใช่แค่รัฐบาลที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แต่สำหรับผู้ที่กำลังต่อสู้ในศาล เช่น ฟ้องหย่าหรือขอสิทธิการเลี้ยงดูบุตรก็อาจเป็นเสมือนการเปิดเผยข้อมูลสำคัญของตัวเองได้เช่นกัน

นักวิเคราะห์ผู้นี้เชื่อว่า ประเด็นเรื่องโทรศัพท์มือถือ Blackberry นี้เป็นเรื่องที่ควรหยิบยกมาหารือ เพื่อเตือนให้ประชาชนทบทวนถึงข้อมูลที่จะเปิดเผยทั้งทางโทรศัพท์และทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งกระตุ้นให้รัฐบาลมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อปกป้องผู้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เหล่านั้น.


::: ข้อมูลโดย VOA News ภาคภาษาไทย :::

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ลำดับไอคิวสุนัข

มาดูลำดับไอคิวสุนัขกันนะครับ

ในความเฉลียวฉลาดหรือที่เรียกว่าไอคิวของสุนัขหรือนั้นกล่าวกันว่ามีสติปัญญาเทียบเท่ากับเด็กอายุกว่าสิบขวบเลยทีเดียว เชื่อกันว่าเค้าก็ฝันได้เหมือนคนเหมือนกัน ตอนนี้เค้าก็อาจกำลังฝันหวานถึงเราหรือฝันน้ำลายยืดว่ากำลังแทะกระดูกชิ้นโตอยู่ก็ได้นะ แล้วสังเกตุมั้ยว่าบางครั้งเค้าก็ยิ้มให้เรา


ความน่ารักและนิสัยของเค้านั้นก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะที่ได้มาจากปู่ย่าตาทวดที่สืบทอดกันมา บางสายพันธุ์ก็อาจสอนให้ทำอะไรได้หลายอย่างหรือยากง่ายแตกต่างกันไป ซึ่งก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวกันไป อย่างเช่นเจ้าโกลเดนนี่แทบไม่ต้องสอนก็วิ่งไปเก็บของมาให้เราได้แล้ว บางตัวก็ดื้อแสนดื้อกันจังก็เพราะสัญชาติญาณสัตว์ป่าของเค้านั่นเอง

ดร.สแตนเลย์ โคเรนท์ แห่งมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ได้จัดอันดับไอคิวสุนัขตามความสามารถในการเรียนรู้จากการฝึก ส่วนพันธุ์ต่างๆนั้นมีหน้าตาอย่างไรก็ลองคลิ๊กไปดูจากลิ้งหมาพันธุ์ต่างๆซ้ายมือกันเอาเองนะ เจ้าโกลเดนหรือสุนัขของคุณจะอยู่อันดับไหนบ้าง ลองไปดูกันดีกว่า

1. บอเดอร์ คอลลี่
2. พุดเดิล
3. เยอรมัน เชฟเฟอร์ด
4. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
5. โดเบอร์แมน
6. เชทแลนด์ ชีพด็อก
7. ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
8. ปาปิยอง
9. ร็อตไวเลอร์
10. ออสเตรเลี่ยน แคทเทิลด็อก
11. เวลช์คอร์กี้
12. มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
13. อิงลิช สปริงเกอร์ สแปเนียล
14. เบลเจียนเทอร์เชน
15. เบลเจียนชีพด็อก
16. คอลลี่ คีชอนด์
17. เยอรมัน ชอร์ทแฮร์ พอยเตอร์
18. อิงลิชค็อกเกอร์ สแปเนียล,
19. สแตนดาร์ด ชเนาเซอร์
20. บริตตานี สแปเนียล
21. คอกเกอร์ สแปเนียล
22. ไวมาราเนอร์
23. เบลเจียน มาลิโนส์,
24. เปอร์นีส เมาน์เทนด็อก
25. ปอมเมอเรเนียน
26. ไอรีสวอเตอร์ สแปเนียล
27. วิสซิลล่า
28. คอร์ดิแกน เวลช์ คอร์กี้
29. พูลิ
30. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
31. ไจแอนท์ ชเนาเซอร์
32. แอร์เดล
33. บอเดอร์ เทอร์เรีย
34. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
35. แมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย
36. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
37. ฟิลด์ สแปเนียล,
38. นิวฟาวแลนด์,
39. ออสเตรเลียน เทอร์เรีย,
40. เบียร์เด็ด คอลลี่
41. ไอริส เซทเตอร์
42. นอร์วีเจียน เอลค์ฮาวด์
43. ซิลกี้ เทอร์เรีย,
44. มินิเอเจอร์ พินช์เชอร์
45. นอร์วิด เทอร์เรียล
46. ดัลเมเชียน
47. ฟ็อก เทอร์เรีย
48. ไอริช วูล์ฟฮาวด์
49. ออสเตรเลียน เชฟเฟอร์ด
50. ซาลูกิ,
51. ฟินนิช สปิทซ์,
52. พอยเตอร์
53. อเมริกัน วอเตอร์ สแปเนียล
54. ไซบีเรียน ฮัสกี้
55. อิงลิช ฟ็อกซ์ฮาวด์,
56. อเมริกัน ฟ็อกซ์ฮาวด์,
57. เกรย์ฮาวด์
58. สก็อตติช เดียฮาวด์
59. บ็อกเซอร์,
60. เกรทเดน
61. ดัชชุนต์
62. อาลาสก้า มาลามุท
63. วิพเพท
64. โรดีเชียน ริดจ์แบ็ค
65. ไอริช เทอร์เรีย
66. บอสตัน เทอร์เรีย,
67. อากิตะ
68. สกาย เทอร์เรีย
69. นอร์โฟล์ค เทอร์เรีย
70. ปั๊ก
71. เฟรนช์บูลด็อก
72. มอลทีส เทอร์เรีย
73. อิตาเลียน เกรย์ฮาวด์
74. ไชนีส เครสเต็ด
75. เจแปนนีส ชิน
76. โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก
77. เกรท พิเรนี
78. สก็อตติช เทอร์เรีย,
79. เซนต์เบอร์นาร์ด
80. บูล เทอร์เรีย
81. ชิวาว่า
82. ลาซา แอปโซ
83. มาสทิฟฟ์
84. ชิสุ
85. บาสเซท ฮาวด์
86. บีเกิล
87. ปักกิ่ง
88. บลัดฮาวด์
89. บอร์ซอย
90. เชาเชา
91. บูลด็อก
92. บาเซนจิ
93. อาฟกัน ฮาวด์

* อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://www.stanleycoren.com/e_intelligence.htm

ที่มา http://www.mylovegolden.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=67338&Ntype=1

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

นมและผลิตภัณฑ์นม

ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มอาจแยกเป็น 3 ชนิดตามอุณหภูมิที่ใช้ในการฆ่าเชื้อ ดังนี้ คือ
นมพาสเจอไรซ์ (pasturized milk) คือ นมที่ผ่านการฆ่าเชื้อโดยใช้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 65 ํc และคงที่อยู่ที่อุณหภูมินี้ไม่น้อยกว่า 30 นาที หรือทำให้ร้อนไม่ต่ำกว่า 72 ํc และคงที่ที่อุณหภูมินี้ไม่น้อยกว่า 16 วินาที แล้วจึงทำให้เย็นลงทันทีที่ 5 ํc หรือต่ำกว่า ความร้อนที่ใช้สามารถทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคในคน (pathogens) ทำให้นมปลอดภัยในการบริโภค แต่ความร้อนที่ใช้ไม่ทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้นมเสีย ซึ่งทำให้นมพร้อมดื่มเสียและเปรี้ยว ดังนั้นนมประเภทนี้จึงมีอายุการเก็บสั้น ประมาณ 3 - 7 วัน และต้องเก็บที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 10 ํc นมพาสเจอไรซ์ที่มีขายในท้องตลาดอาจบรรจุภาชนะพลาสติกลักษณะเป็นถุงหรือขวด หรืออาจบรรจุในกล่องกระดาษลามิเนต ก่อนซื้อผู้บริโภคควรอ่านวันหมดอายุที่ระบุไว้ด้วย เพื่อป้องกันการบริโภคนมเสีย

นมสเตอริไลซ์ (sterilized milk) คือ นมที่ผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 100 ํc โดยใช้เวลาที่เหมาะสม อุณหภูมินี้สามารถทำลายทั้งจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคและจุลินทรีย์ที่ทำให้นมเสียด้วย จึงสามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องได้นานถ้ายังไม่เปิดภาชนะบรรจุ นมชนิดนี้มักนิยมบรรจุกระป๋องปิดสนิทและใช้ความร้อนฆ่าเชื้อ แต่เนื่องจากการใช้อุณหภูมิที่สูง อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารอาหารต่างๆในนม เช่น โปรตีน น้ำตาลนม ไขมัน ทำให้นมมีสี กลิ่นและรสชาติต่างไปจากน้ำนมดิบ เช่น มีสีน้ำตาลมากขึ้น มีรสขมเล็กน้อย หรือมีกลิ่นนมที่ผ่านการต้ม (cooked flavour)

นมยูเอชที (Ultra High Temperature, UHT) คือ นมที่ผ่านการฆ่าเชื้อโดยใช้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 133 ํc เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 วินาที แล้วบรรจุในภาชนะและสภาวะที่ปลอดเชื้อ ความร้อนที่ใช้สามารถทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคและจุลินทรีย์ที่ทำให้นมเสีย การใช้เวลาในการฆ่าเชื้อที่สั้นช่วยลดการเปลี่ยนสี หรือกลิ่นรสนมต้มได้ นมชนิดนี้มักบรรจุในกล่องกระดาษลามิเนตแข็งทรงสี่เหลี่ยม สามารถเก็บได้นานประมาณ 5-6 เดือนที่อุณหภูมิห้องถ้ายังไม่เปิดภาชนะ เป็นผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มที่ได้รับความนิยมบริโภคมากภายในประเทศ

นมข้น (evaporated milk หรือ condensed milk)
เป็นนมที่ผ่านการระเหยน้ำออกไปบางส่วน จึงทำให้มีความเข้มข้นมากขึ้นและอาจทำให้หวานโดยน้ำตาล ได้แก่
ก. นมข้นหวาน (sweetened condensed milk) เป็นนมที่มีน้ำน้อยกว่าที่มีอยู่ในน้ำนมดิบและมีการเติมน้ำตาลทรายเพื่อให้มีความหวานมาก มักนิยมใช้ชงเครื่องดื่มต่างๆ ปริมาณน้ำตาลในนมข้นหวานประมาณ 47-56 % ทำให้นมข้นหวานไม่เสื่อมเสียง่ายแม้เก็บที่อุณหภูมิห้อง การผลิตนมข้นนั้นอาจใช้วิธีนำน้ำนมดิบมาระเหยน้ำออกไปบางส่วน หรืออาจใช้นมผงพร่องมันเนยผสมน้ำ เติมน้ำมันเนยหรือน้ำมันพืชแล้วไปผ่านกระบวนการทำให้เป็นเนื้อเดียวกันที่เรียกการโฮโมจิไนซ์ (homogenization) และปรับมาตรฐานให้มีปริมาณน้ำในผลิตภัณฑ์ตามต้องการ ห้ามใช้นมข้นหวานเลี้ยงทารกเพราะนอกจากมีน้ำตาลมากแล้วจะมีสารอาหารอื่นๆอยู่น้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของทารก ในท้องตลาดมีนมข้นหวานบรรจุในกระป๋องโลหะเคลือบดีบุก หรืออาจบรรจุในหลอดบีบเพื่อให้สามารถพกพาไปใช้ในที่ต่างๆได้สะดวก
ข. นมข้นจืดหรือนมข้นไม่หวาน หรือนมข้นแปลงไขมันไม่หวาน มักบรรจุในกระป๋องและฆ่าเชื้อแบบสเตอริไรซ์ เพื่อให้มีอายุการเก็บนาน นมชนิดนี้ใช้สำหรับทำอาหารหรือขนมอบหรือใช้ใส่ในชา กาแฟ เป็นต้น
ถ้าใช้นมขาดมันเนยมาแปรรูปผลิตภัณฑ์นมข้นทั้งสองชนิดจะได้เป็นนมข้นขาดมันเนยหวาน และนมข้นขาดมันเนยไม่หวาน

นมผง (dried or powder milk)
เป็นนมที่ผ่านการระเหยเอาน้ำออกด้วยกรรมวิธีต่างๆจนได้เป็นนมผง เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อาจแบ่งตามปริมาณไขมันเป็น นมผงธรรมดา (มีไขมันไม่น้อยกว่า 26 %) นมผงพร่องมันเนย (มีไขมันประมาณ 1.5-26 %) และนมผงขาดมันเนย (มีไขมันน้อยกว่า 1.5 %) หรืออาจแบ่งตามการใช้เลี้ยงทารกเป็นดังนี้ คือ
ก. นมผงดัดแปลง (humanized milk หรือ modified milk) เป็นนมผงสำหรับใช้เลี้ยงทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน เนื่องจากปริมาณโปรตีนและเกลือแร่ในนมโคผงสูงเกินไปสำหรับทารกจึงต้องมีการดัดแปลงให้ใกล้เคียงนมมารดา บริษัทที่ผลิตนมเหล่านี้จะมีการแข่งขันกันอย่างมากในการศึกษาค้นคว้าและทดลองดัดแปลงนมวัวให้มีสารอาหารต่าง ๆ ใกล้เคียงนมมารดามากที่สุด หรืออาจมีการเสริมสารอาหารบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อทารกให้มากกว่าที่มีปกติในนมมารดา ผู้บริโภคจึงควรขอความรู้จากบุคลากรสาธารณสุขเพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้ถูกต้องและไม่เสียเงินมากโดยไม่จำเป็น
ข. นมผงครบส่วน (whole milk) เป็นนมโคที่มีการระเหยน้ำออก โดยไม่ต้องปรับปริมาณโปรตีนและเกลือแร่ให้ลดลง เพราะใช้สำหรับทารกอายุเกิน 6 เดือนและในเด็กโต เมื่อละลายน้ำตามสัดส่วนที่ถูกต้องจะได้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงน้ำนมวัว
นมเปรี้ยว (cultured milk หรือ yogurt)
คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม หมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค หรือไม่ทำให้เกิดพิษ ที่นิยมใช้คือจุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติก (Lactic Acid Bacteria; LAB) และบ่มให้เชื้อเจริญ โดยใช้น้ำตาลแลคโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกทำให้นมมีรสเปรี้ยว และช่วยยืดอายุการเก็บนมให้นานขึ้น อาจมีการปรุงแต่งสี กลิ่น รสด้วย นมชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดื่มนมไม่ได้เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส (lactose intolerance) สามารถบริโภคนมเปรี้ยวได้ไม่มีปัญหาท้องเสียหรือเกิดก๊าซ เพราะน้ำตาลแลคโตสในนมถูก LAB เปลี่ยนเป็นกรดแลคติก การบริโภคนมเปรี้ยวนอกจากจะได้คุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่ในนมแล้ว ถ้านมเปรี้ยวนั้นผ่านการฆ่าเชื้อแบบพาสเจอไรซ์ หรือบรรจุแบบปลอดเชื้อ (aseptic packaging) ผู้บริโภคก็จะได้รับ LAB ด้วย เรียกผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ (probiotics) ซึ่งมีข้อมูลยืนยันว่าจุลินทรีย์เหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ช่วยสร้างสภาวะเป็นกรดในทางเดินอาหาร ป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเจริญและเพิ่มจำนวน นอกจากนั้นสารบางชนิดที่สร้างโดย LAB ยังมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้อีกด้วย แต่ถ้าผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยระบบยูเอชที ผู้บริโภคก็จะได้รับเพียงสารอาหารต่างๆที่มีอยู่ในนมเปรี้ยว แต่ไม่ได้รับ LAB ที่ยังมีชีวิตเข้าไปด้วย ถ้ามีการนำนมเปรี้ยวมาเจือจางด้วยน้ำนมพร่องไขมันแต่งด้วยสีหรือกลิ่นต่าง ๆ หรือเติมน้ำผลไม้ เพื่อทำให้เป็นนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม (drinking yogurt) ผู้บริโภคจะได้รับปริมาณโปรตีนลดลง เพราะถูกเจือจางด้วยน้ำ และได้รับน้ำตาลทรายเพราะมีการเติมน้ำตาลเพื่อให้มีรสหวานนำรสเปรี้ยว ปัจจุบันนมเปรี้ยวพร้อมดื่มเป็นผลิตภัณฑ์นมที่ได้รับความนิยมมากภายในประทศเพราะมีรสชาติที่อร่อย

นมคืนรูป (reconstituted milk หรือ recombined milk)
คือ นมที่ทำมาจากการนำส่วนประกอบที่สำคัญของนม เช่น นมผงหรือนมผงพร่องมันเนย น้ำมันเนย มารวมกับน้ำ โฮโมจิไนซ์ให้เป็นเนื้อเดียวกัน มีลักษณะคล้ายนมสด ได้เป็นผลิตภัณฑ์นมคืนรูป และนำมาแปรรูปต่อเป็นนมข้นหวานหรือนมข้นจืด อาจมีการใช้ไขมันอื่นแทนน้ำมันเนย เช่น น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เป็นต้น ได้เป็นนมคืนรูปแปลงไขมัน เป็นการลดต้นทุนการผลิต แต่ต้องระบุฉลากให้ผู้บริโภคทราบ

เนยแข็ง (cheese)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม ครีม บัตเตอร์มิลค์ (butter milk) หรือเวย์ (whey) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างมาผสมกับเอ็นไซม์หรือกรด หรือจุลินทรีย์จนเกิดการรวมตัวเป็นก้อน แล้วแยกส่วนที่เป็นน้ำออก และนำมาใช้ในลักษณะสดหรือนำไปบ่มให้ได้ที่ก่อนใช้ เนยแข็งเหล่านี้เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีนและแคลเซียม

ครีม (cream)
คือ ไขมันที่ได้จากการปั่นแยกจากน้ำนม และมีไขมันนมเป็นส่วนประกอบสำคัญ มี 3 ประเภทคือ ครีมแท้ ครีมผสม และครีมเทียม นิยมใช้ในเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ขนมอบ เป็นต้น

เนย (butter)
คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากครีมซึ่งผ่านกรรมวิธีการผลิตและอาจเติมวิตามิน หรือสารที่จำเป็นต่อกรรมวิธีการผลิต เช่น เกลือ วิตามินดี และเบต้าแคโรตีน เพื่อปรุงแต่งรสชาติและสี เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการปั่นแยกไขมันนมให้มีน้ำอยู่ในปริมาณต่ำ คือ ไม่เกิน 16 % และมีไขมันไม่น้อยกว่า 80 % หากมีการลดความชื้นจนต่ำกว่า 1 % จะได้น้ำมันเนย (butter oil) ซึ่งนิยมใช้เป็นวัตถุดิบผสมกับนมพร่องไขมันในการทำผลิตภัณฑ์นมคืนรูป เนื่องจากไขมันในนมมีกรดไขมันสายสั้นปริมาณมากทำให้เนยมีจุดหลอมเหลวต่ำ และหืนได้ง่าย จึงควรเก็บในตู้เย็นถ้าต้องการให้เป็นก้อน และไม่หืนเร็ว

ไอศกรีม (ice cream)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำ อากาศ โปรตีน น้ำตาล และไขมัน ได้จากการปั่นส่วนประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกันที่อุณหภูมิต่ำ จนน้ำในส่วนประกอบเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง ไขมันที่ใช้ทำอาจเป็นไขมันอื่นๆแทนน้ำมันเนยได้ มีการเติมสารปรุงแต่ง สี กลิ่นรส และสารอิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier)ช่วยรักษาความคงตัวของอิมัลชั่นและฟองอากาศในไอศกรีมแสดงคุณค่าทางโภชนาการของนมและผลิตภัณฑ์นม

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

โพลวิจัยความเห็นสาธารณะ วัยทำงานมีความสุขน้อยสุด

ในงานพิธีส่งมอบผลงานวิจัยของปัญญาสมาพันธ์เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศไทยให้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์เพื่อนำไปเผยแพร่ ที่ตึกซี.พี.ทาวเวอร์เมื่อวันก่อน มีหัวข้อเสวนาโดยนักวิชาการหัวกะทิไทยและเป็นคณะทำงานของปัญญาสมาพันธ์ฯ เรื่อง “ความมั่นใจต่อเศรษกิจไทย:เหลียวหลัง แลหน้า” ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากคือเรื่องความสุขและความทุกข์ของคนไทยและความพอดีว่าอยู่ตรงไหน? กับความวิตกกังวล การเงิน และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจตลอดจนการดิ้นรนหารายได้ของผู้คนในปัจจุบัน ฯลฯ นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าจะสุขหรือทุกข์นั้นห่างกันแค่ปลายจมูก หากต้องการความสุขที่มากขึ้นทุกคนต้องรู้จักกับคำว่า “พอประมาณ”



อ.ศิวพร ปกป้อง คณะกรรมการบริหารนโยบายและคณะทำงานปัญญาสมาพันธ์ และรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ฯ เปิดเผยว่า “จากผลการวิจัยประเด็น “สุข-ทุกข์ โชคชะตา และความพอดีของคนไทย” ที่ได้ทำการสำรวจเป็นปีแรกจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 8,000 คนทั่วประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า ตัวเลขค่าเฉลี่ยความสุขของคนไทยอยู่ที่ระดับ 6.22 คะแนน เพศหญิงมีความสุขกว่าเพศชายเล็กน้อย วัยรุ่นและผู้สูงอายุกว่า 50 ปีมีความสุขมากกว่าคนวัยทำงาน ส่วนคนใต้และคนภาคกลางมีความระดับความสุขสูงสุด คนภาคเหนือมีความสุขต่ำสุด และผู้ที่มีฐานะปานกลางเป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าคนทุกกลุ่ม โดยร้อยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่าปีนี้มีความสุขไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา ส่วนผู้มีอายุน้อยมีแนวโน้มเป็นผู้มีความสุขในปีนี้มากกว่าปี 52



“ผลวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนวัยทำงานซึ่งเป็นฐานกลุ่มใหญ่ของประเทศ คือผู้ที่สร้างรายได้และทำงานหาเลี้ยงครอบครัว กลับมีความสุขน้อยกว่ากลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญเพื่อเข้ามาช่วยเหลือ ลดภาระและดูแลให้มากยิ่งขึ้น เช่นการสร้างงาน ทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้ได้มีเวลาพักผ่อน ไม่เครียดกับการทำมาหาเลี้ยงชีพมากเกินไป ได้มีความสุขทัดเทียมกับคนกลุ่มอื่นในสังคม สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐได้เต็มที่ และได้มองเห็นอนาคตของตนเองในวันหน้า ฯลฯ โดยเฉพาะคนจนที่เป็นคนในวัยทำงาน หากระดับความสุขยังต่ำกว่าคนอื่นแล้วและมีความทุกข์มากกว่ากลุ่มใด ๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงมากสำหรับสังคมไทยอย่างยิ่ง”



ส่วนเรื่องความรวยกับความจนไม่ค่อยสะท้อนในเรื่องความสุขมากเท่าไหร่นัก แสดงให้เห็นว่าความสุขของมนุษย์ไม่ได้เกิดกับผู้ที่มีฐานะดีเสมอไป คนที่มีฐานะปานกลางกลับมีความสุขมากกว่าคนสองกลุ่มนี้ อาจเพราะคนชั้นกลางพยายามที่จะช่วยเหลือตัวเองมากที่สุด ด้วยการทำงานมากขึ้นรวมทั้งพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่มากกว่า



“เมื่อจำแนกค่าความสุขตามกลุ่มอายุ พบว่าผู้ที่มีความสุขมากที่สุดคือ กลุ่มเด็กและเยาวชน เป็นเพราะคนกลุ่มนี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและไม่ต้องกังวลกับการหาเลี้ยงชีพใด ๆ แต่กลุ่มที่น่าสนใจอีกกลุ่มคือ ผู้สูงวัย ที่บอกว่าปีที่ผ่านมามีความสุขมากกว่าปีนี้ เพราะสภาพบ้านเมืองที่วุ่นวายทำให้ผู้สูงวัยปรับตัวยากเพราะเคยชินกับสภาพบ้านเมืองที่เรียบร้อยและกังวลถึงเหตุการณ์นี้อาจเกิดอีกในปีต่อไปด้วย”
แต่เมื่อถามถึงความคาดหวังในครึ่งปีหลังของปี 53 หรืออีกสามเดือนข้างหน้าว่าระดับความสุขของคนไทยน่าจะเป็นอย่างไร รอง ผ.อ.ฝ่ายวิจัยและพัฒนาสถาบันแห่งชาติฯ กล่าวว่า ร้อยละ 26 คาดว่าคนไทยน่าจะมีความสุขมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 23 กลับเห็นว่าน่าจะมีความสุขลดลง ตัวเลข 1 ใน 4 ของคนทั้งสองกลุ่มนี้คาดว่าในอีกสามเดือนข้างหน้าคนไทยจะมีความสุขมากขึ้น


“เราสามารถประเมินระดับความสุขของผู้คนได้บ้างจากการเชื่อมโยงกิจกรรมบางอย่างเพื่อพยากรณ์ เช่น หากใครมีเวลาหารายได้เพิ่ม ได้เข้าวัดทำบุญ ทานอาหารสำเร็จรูป และดูหนังร้องคาราโอเกะนอกบ้าน เหล่านี้ มากกว่า ในสามเดือนที่แล้ว รวมทั้งออกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดและดูดวงน้อยกว่า สามเดือนที่แล้ว บุคคลนั้นมีแนวโน้มว่าจะมีระดับความสุขในปัจจุบันสูงกว่าคนกลุ่มอื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นทิศทางการใช้จ่าย คือเรื่องของการเงินและเศรษฐกิจชัดเจนด้วย”



อีกเรื่องคือคนไทยกับโหราศาสต์อยู่คู่กันมาช้านาน โดยเฉพาะยามมีทุกข์ แต่ใช่ว่าธุรกิจนี้จะเฟื่องฟูตลอดไปและไม่ย่ำแย่เหมือนอย่างอื่น เพราะผลสำรวจ 3 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้พึ่งโหราศาสตร์น้อยลง และสัดส่วนของการดูดวง ไม่ว่าจะมีมากเท่าเดิม เพิ่มขึ้นหรือน้อยลง ตัวเลขต่าง ๆ ก็ไม่ต่างกันมากนัก ส่วนภาคไหนชอบดูดวงมากที่สุด ผลสำรวจพบว่าเป็น ภาคอีสาน


“แม้เทียบกับสองปีที่แล้ว จะยังฟังธงไม่ได้ว่าคนไทยมีความสุขมากขึ้นแต่อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทราบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้แย่ลงไปกว่าเดิม และค่าระดับความสุขและความคาดหวังว่าจะพบอนาคตที่ดีขึ้นก็อยู่ในระดับดีอย่างที่เห็นอย่างชัดเจน สรุปได้ว่าทางออกของคนที่จะมีความสุขในชีวิตมากขึ้นคือ คนที่รู้จักพอประมาณ ขยันทำงานและพยายามช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด เหมือนอย่างคนที่มีฐานะปานกลางที่มีความสุขมากกว่าคนกลุ่มใด ๆ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น” อาจารย์ศิวพร กล่าวทิ้งท้าย






ข้อมูลจาก:www.thaibusinesspr.com

มนุษย์แมลง มีจริงหรือ?

มีข่าวเกี่ยวกับสุขภาพช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับ มนุษย์ที่มีแมลงไชออกมาที่ผิวหนัง ซึ่งในทางการแพทย์ แยกเป็น2 แบบคือ มีแมลงจริง กับจิตหลอนแล้วคิดไปเองว่าตนเองมีแมลง ในวันนี้จะเสนอในแง่ของ มีแมลงไชออกมาจากตัวจริงๆ




การที่มีแมลงออกมาเป็นไปได้จริงหรือ ? คำตอบคือ เป็นได้ทางการแพทย์ เราจะเรียกว่า cutaneous myiasis ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ แบบเป็นแผล แบบเป็นฝี และแบบเคลื่อนที่ หรือ migratory miasis

ชนิดที่เป็นแผล พบในคนป่วยที่มีแผลและช่วยเหลือตนเองไม่ได้อยู่ในที่สกปรก คนจรจัดที่มีแผล หรือติดเหล้า มีแมลงวันไปวางไข่ในแผล และเกิดแมลงในแผลนั้นเอง บางคนจะไปแทรกอยู่ในโพรงของร่างกายเช่น หู จมูก

ชนิดเป็นฝี ส่วนใหญ่เกิดในเขตแอฟริกา อเมริกาใต้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการที่แมลงมาไข่โดยตรง แต่เกิดจากยุง หรือจากเสื้อผ้าที่มีไข่ติดมา เมื่อฟักออกมาแมลงในระยะตัวหนอนหรือ larva จะขุดอุโมงอยู่ และเติบโต ถ้าตัวอ่อนไม่ตายเสียก่อนก็จะเป็นแมลงเต็มวัย ไชออกมา ส่วนใหญ่ผู้ที่มีอาการจะเจ็บคัน หรือรู้สึกมีตัวอะไรไชใต้ผิว บวมเป็นฝีและมีหนอง บางครั้งอาจมองเห็นตัวหนอนได้จากรอยเปิดที่ฝี

แบบสุดท้ายคือแบบไชไปตามที่ต่างๆหรือ migratory มักเกิดจากหนอนแมลงของสัตว์ เช่นวัว ควาย เมื่อติดคนจะไปไปใต้ผิวหนังได้

การรักษา เนื่องจากพวกนี้ต้องการอ๊อกซิเจน ดังนั้นการปิดกั้นรูเปิดเช่นใช้ขี้ผึ้งพาราฟินทาปิดรูที่ผิวหนังและให้ตัวอ่อนไชออกมา หรือคีบออกมาตอนเป็นๆจะได้ผลดีกว่ารอให้ตาย การรักษาโดยใช้ยา Ivermectin ก็ได้ผลดี

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

3.9G กับวงการเกมไทย


หลายคนที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ INTERNET ไร้สาย คงพอคุ้น ๆ ชื่อ เจ้า 3.9G อยู่นะคะ เพราะว่าในประเทศไทยตอนนี้เป็นประเทศที่ค่อนข้างล้าหลังในเรื่องนี้อยู่ (เพราะยังไม่มี 3G ) ซึ่ง

ตอนนี้ประเทศไทยประกาศจะนำหน้าประเทศอื่นแล้ว โดยเปิด 3.9G มาแทน 3G มันซะเลย และกำำลังจะจัดงานมหกรรม 3.9G เพื่อป่าวประกาศว่าไทยจะใช้ 3.9G แล้วนะ เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ 8-12 กันยายน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


ซึ่งเจ้า 3.9G หลายๆ คนก็อาจจะยังสงสัยว่าแล้วมันจะช่วยอะไรให้กับประเทศไทยในด้านการสื่อสารได้อย่างไรบ้าง และที่แน่ๆ คือ จะเกี่ยวอะไรกับวงการเกมได้บ้าง และเจ้า 3.9G เนี่ยมันเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาจาก 3G แล้วมันจะแตกต่างกับ 3G ที่จะมาเปิดก่อนหน้านี้ยังไงละ!?



3G หรือ 3.9G?
3.9G เป็นชื่อเล่นที่มักใช้เรียกเทคโนโลยี LTE (ITU นิยามเพียง 1G, 2G, 3G เท่านั้น ส่วน 4G นิยามแล้วแต่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ) แต่ที่ พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อการอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3.9จี อ้างว่า 3.9G น่าจะหมายถึงเทคโนโลยี HSPA+ มากกว่า แต่อย่ามัวสับสนตัวเลขเลยค่ะ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงชื่อเล่น ต้องดูที่ใบอนุญาตว่าระบุอย่างไร ในเบื้องต้นระบุว่า

1. เป็นเทคโนโลยี IMT หรือ 3G and beyond (ผู้ให้บริการสามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้)
2. ต้องความเร็ว downlink ขั้นต่ำที่ 512 kbps (HSDPA ขึ้นไป)
3. ใช้ความถี่ย่าน 2.1GHz (ยังไม่มีอุปกรณ์ LTE ที่ย่านนี้)
4. พ.อ. นที ระบุว่าความเร็วสูงสุดถึง 42Mbps (ตรงกับสเปคของ HSPA+)


หรือถ้าสรุปง่าย ๆ คือ เราสามารถเรียกมันว่า 3.9 generation - Long-Term Evolution ก็ได้ โดยเป็นเทคโนโลยี ยุคที่ 3.9 ของโทรศัพท์ มันจะรวมเอา 3G เข้ากับ GPRS ทำให้มีความเร็วมากขึ้นและรองรับการใช้งานทีมากกว่าเดิม มี bandwidth กว้างขึ้น รับ-ส่งข้อมูล ได้ทีละมากขึ้นนั่นเอง และใกล้เคียงกับ 4G มากเลย


ระบบเกี่ยวกับ G ทั้งหลาย

2G = GSM
2.5G = GPRS
2.75G = EDGE
Then moving onto 3G systems:
3G = WCDMA, R99
3.5G = HSDPA
3.75G = HSUPA
3.8G = HSPA+ (HSPA Enhancements)
3.85G = 'HSPA+' + MIMO
3.9G = LTE
4G = NOT WiMAX




ถ้าดูจริง ๆ 3.9G ก็ไวกว่า 3G อย่างน้อยประมาณ 20 เท่า ซึ่งสาเหตุที่ไม่กระโดดไป 4G นั้นเป็นเพราะว่า 3.9G นั้นอัพเกรดได้ง่ายกว่าและมีความพร้อมในเชิงพาณิชย์มากกว่า 4G นั่นเอง


แล้ว 3.9G เกี่ยวอะไรกับวงการเกมไทย



เพราะด้วยความที่ 3.9G สามารถมีความไวในการรับ-ส่งข้อมูลที่ฉับไว และไม่ว่าอยู่ที่ไหนของประเทศไทยหากมีซิมการ์ดที่แทนแอร์การ์ดที่แพงหูฉี่อยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว เหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายก็สามารถเล่นเกมออนไลน์หรือดาวน์โหลดคอนเทนต์ต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา และนอกจากนี้แล้วในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการใช้ก็จะน้อยลง เครื่องโทรศัพทมือถือสมาร์ทโฟนก็จะถูกลงอีกด้วย พวกเกมต่างๆ ก็จะสามารถให้เพื่อนๆ ได้อัพเดตความมันส์ได้ตลอดเวลา และทำให้เหล่าค่ายเกมต่างๆ หรือบริษัทบันเทิงจะหันมากระตือรือร้นในการออกโปรเจ็คท์ใหม่ๆ ที่จะสนองความมาเร็วไปเร็วของเทคโนโลยีกันอีกด้วย เห็นมั้ยคะว่าเจ้า 3.9G ไม่ธรรมดาและเป็นประโยชน์ต่อวงการเกมบ้านเราขนาดไหน คนที่ได้รับผลประโยชน์เต็มก็พวกเราชาวไทยและเกมเมอร์ไทยนี่แหละ



แต่ตอนนี้คงต้องมาลุ้นว่าที่เค้าจะเปิดประมูลในวันที่ 20 กันยายนนี้จะเป็นผลมากน้อยแค่ไหน และพวกเราจะได้เริ่มใช้เมื่อไหร่ ต้องติดตามกันต่อไป (ก็แอบเชียร์ว่าอยากให้มาเร็วๆ เหมือนกัน พวกเราจะได้เล่นเกมออนไลน์กันได้ทุกที่ โหลดแอพกันทุกเวลา แถมลื่นปื้ดๆๆ อีกด้วย ^o^)





----

credit : 9bear.com

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

5 วิธี แต่งกายต้องห้าม ของผู้ชาย




ผู้ชายคนไหนที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในการแต่งตัวให้ดูดี และมั่นใจ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มี 5 วิธีต้องห้ามมาบอกกัน เพื่อจะได้รู้ถึงการแต่งกายที่เหมาะสม

1. สวมเสื้อเชิ้ตทับเสื้อคอโปโล หรือเสื้อคอเต่า

วิธีการแต่งกายที่เป็นพื้นฐานนั่นคือ การสวมตัวบางไว้ใน ตัวหนาไว้นอก เมื่อสวมเสื้อเชิ้ตทับเสื้อคอโปโล จึงดูแปลก ๆ ถ้าต้องการจะแต่งสไตล์นี้ แนะนำให้เปลี่ยนจากเชิ้ต เป็นแจ็คเก็ตแทนจะดีกว่า

2. เอาเสื้อสเว็ตเตอร์ผูกไว้บนบ่า

วิธีนี้อาจจะทำให้ดูเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ถ้าต้องการติดต่อธุรกิจด้วยการแต่งกายเช่นนี้ จะดูเป็นกันเองมากเกินไป ถ้าจะให้ดูดีขึ้น เอาเสื้อสเว็ตเตอร์นั้นผูกไว้เอวดีกว่า

3. ผู้ชายกับผ้าโพกผม

ผ้าโพกผมอยู่กับแฟชั่นผู้ชายมานาน มักเป็นหนุ่มที่เป็นกบฏต่อสังคมเล็ก ๆ หรือมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เช่น พวกศิลปินร็อค Axl Rose หรือ Jon Bon Jovi แต่ว่าตอนนี้ พวกเขาก็เลิกโพกผมกันแล้ว แต่ถ้าไปทะเล โพกผมเพื่อกันลมแรงก็ไม่ว่ากัน

4. กางเกงเอวต่ำ

การใส่กางเกงเอวต่ำนั้น นอกจากจะทำให้ดูไม่สุภาพแล้ว ยังทำให้ดูเหมือนยังไม่โต และทำให้ดูว่ามีรูปร่างที่ไม่สมส่วน ขาจะดูสั้นกว่าปกติ นอกจากนี้เวลาเดิน ต้องพยายามไม่ให้ขอบเอวกางเกงเลื่อนลงมา จึงต้องเดินขากางกว่าปกติ

5. กางเกงขาสั้นจุดจู๋

การใส่กางเกงขาสั้น ที่สั้นกว่าปกติ อาจดูไม่สุภาพ และเวลานั่งของผู้ชายมักจะนั่งแบะขา แล้วถ้าใส่กางเกงขาสั้นกุดแบบนั้น รับรองไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากนั่งใกล้แน่นอน

รู้อย่างนี้แล้ว คุณผู้ชายก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ เพื่อการแต่งกายที่สุภาพและเหมาะสม



ข้อมูลจาก เดลินิวส์ออนไลน์

3 ค่ายใหญ่ เตรียมเปิดตัว iphone 4 ในไทย 23 ก.ย.นี้


หลังเกิดกระแส iphone 4 ฟีเวอร์ไปทั่วโลก สาวกแอปเปิ้ลในไทยก็รอคอยการมาถึงของ iphone 4 อย่างใจจดใจจ่อ กระทั่งมีข่าวแว่วมาว่าทั้ง 3 ค่ายใหญ่อย่าง DTAC, AIS และ True move กำลังจะเปิดตัวและเปิดจอง iphone 4 ในเร็ววันนี้

โดยทางค่าย True move ได้ประกาศอย่างทางการว่างานเปิดตัว Apple iPhone4 จะมีขึ้นในวันที่ 23 กันยายน ที่สยามพารากอนฮอร์ ตั้งแต่เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่นหรือราคาตัวเครื่องจะถูกเปิดเผยในงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งงานนี้จะจัดให้เฉพาะผู้สื่อข่าวเท่านั้น

ขณะที่ DTAC ก็ร่อนจดหมายเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวงาน iPhone4 เปิดหมดเปลือกทุกรายละเอียด ในวันที่ 22 กันยายนนี้ เวลา 10.00 น ที่บ้าน DTAC จามจุรีสแควร์ ก่อนจะจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 กันยายนตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป

ทางด้าน AIS ก็ไม่น้อยหน้า มีข่าวเล็ดลอดมาว่าจะมีการเปิดตัว iPhone 4 กันในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 23 กันยายนเช่นเดียวกัน ที่ห้อง Sky Hall เซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งว่ากันว่างานนี้จะถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ต่อเนื่องถึง 4 วัน จนถึงวันที่ 26 กันยายนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ iPhone4 ได้มีการเปิดจองและวางจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีไปแล้ว และในวันที่ 25 กันยายนนี้ก็จะมีการวางจำหน่ายที่จีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน ซึ่งการวางจำหน่ายในครั้งนี้ แอปเปิลได้ลงนามร่วมกับบริษัทไชน่า ยูนิคอม ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อ iPhone4 ได้ที่ร้านในเครือไชน่า ยูนิคอม และร้านของแอปเปิลทุกสาขา รวมถึง 2 สาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ในจีนและเซี่ยงไฮ้ ที่จะประเดิมการเปิดร้านด้วยการวางจำหน่าย iPhone4 ในวันเสาร์ ที่ 25 กันยายนนี้



สำหรับราคาเครื่อง iPhone4 ที่จำหน่ายในประเทศจีน เปิดจำหน่ายรุ่น 16GB ในราคา 4,999 หยวน หรือประมาณ 22,800 บาท และรุ่น 32GB ในราคา 5,999 หยวน หรือประมาณ 27,500 บาท โดยคาดว่าจะได้รับความสนใจและขายดีไม่แพ้กับที่เคยวางจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ มาแล้ว ขณะเดียวกันที่ทางไชน่า ยูนิคอม ก็ยังมีการแถมโปรโมชั่นสุดดึงดูดใจให้กับลูกค้า ด้วยการลดราคาให้เหลือประมาณ 18,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าลูกค้าต้องทำสัญญาและจ่ายค่าบริการรายเดือนให้กับทางบริษัทอีกด้วย

สำหรับความน่าสนใจของ iPhone 4 นอกจากการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เดิมที่เป็นทรงโค้งมน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเรียบ ๆ iPhone 4 ยังถูกเพิ่มออปชั่นที่คนไทยรอคอยนั่นก็คือ กล้องด้านหน้า สำหรับการคุยแบบเห็นหน้าผ่านแอพพลิเคชั่น Facetime และเพิ่มแสงแฟลชในการถ่ายรูปด้วย

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มพิกเซลของกล้อง iPhone 4 เป็น 5 ล้านพิกเซล ซูมเข้า-ออกได้ถึง 5 เท่า อีกทั้งยังมีไมค์ 2 ตัวที่มีระบบตัดสัญญาณรบกวน ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีความละเอียดสูง (High-definition) ก็ถูกใส่เข้ามาให้เจ้า iPhone 4 มีประสิทธิภาพในการถ่ายวิดีโอได้คมชัดขึ้น รวมทั้งปัญหา iPhone แบตหมดเร็วก็ถูกแก้ไขด้วยการใช้ชิป A4 ที่เป็นระบบจัดการพลังงานที่ดีขึ้น สามารถใช้แบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้นด้วย

อีกทั้งแอปเปิ้ลยังเพิ่มแผ่นแก้วใสเคลือบหน้าจอ โดยใช้วัสดุแบบเดียวกับกระจกของเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งแข็งกว่าพลาสติก 30 เท่า จึงทนต่อรอยขีดข่วนมากกว่าเดิม และยังเคลือบสารกันรอยนิ้วมือไม่ให้เป็นคราบง่ายอีกด้วย

ส่วนใครที่เล็งจะเป็นเจ้าของ iphone 4 ก็ต้องคอยตามข่าวกันอย่างใกล้ชิด ชนิดห้ามกระพริบตา...รับรองว่าถ้ามีข่าวความคืบหน้า เราจะนำมารายงานให้ทราบกันแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- pg.in.th
- aisclub.ais.co.th
- mxphone.com

ขับรถถอยหลัง อย่างมีเทคนิค



หลายๆ คนมักไม่ชินเวลาขับรถถอยหลัง หรือเก้ๆ กังๆ กะระยะห่างไม่ถูกต้องเวลาถอยรถเข้าช่องจอด มาเรียนรู้วิธีขับรถถอยหลังให้ถูก และเทคนิคง่ายๆ

ขับรถถอยหลังนั้น ควรกระทำในขณะที่ความเร็วต่ำและขับช้าๆ ซึ่งจะทำให้การหมุนพวงมาลัยได้ผลดี

ขณะหมุนพวงมาลัย ควรใช้รถเคลื่อนที่นิดหน่อยเพราะจะช่วยลดการเสียดสีระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน

หลักการถอยหลัง มีหลักอยู่ว่าต้องการให้ท้ายของรถยนต์หันไปทางใด ก็ให้หมุนพวงมาลัยไปทางนั้น เช่น ต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางซ้าย ก็ให้หมุนพวงมาลัยไปด้านซ้าย และถ้าต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางขวาก็หมุนพวงมาลัยไปทางขวา

ในขณะที่จะถอยหลัง หากมีการจราจรแออัดควรเปิดสัญญาณไฟ และสังเกตรถที่ผ่านไปมาทั้งด้านหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา ว่าพ้นระยะในการหักวงเลี้ยวของรถเราหรือไม่

เพิ่มความมั่นใจ ขณะถอยด้วยการใช้มือขวาควบคุมพวงมาลัยและใช้แขนซ้ายอ้อมไปจับด้านหลังของเบาะคู่หน้า จากนั้นค่อยๆ ถอยช้าๆ เข้าซอง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้การเอี้ยวคอไปมองท้ายรถสะดวกขึ้น

การทิ้งช่วงห่างระหว่างท้ายรถกับกำแพงด้านหลัง บ่อยครั้งที่เรามักจะกะระยะไม่ถูก เนื่องจากไม่กล้าถอย กลัวท้ายจะชนโดยเฉพาะในเวลากลางคืน ลองใช้วิธีแตะเบรกช่วย แล้วสังเกตแสงไฟท้าย ประเมินดูได้จากรัศมีของแสงไฟ หากจอดชิดเกินไปจะมีแสงหรี่หรือมองไม่เห็นแสง แต่หากแสงจ้าแสดงว่ายังถอยได้อีก

ทั้งนี้ลองสังเกตการจอดของรถข้างๆ ที่มีขนาดใกล้กันช่วยก็ได้ โดยพยายามให้บานประตูรถอยู่ในระนาบเดียวกัน และระวังเรื่องรถคุณจะจอดล้ำหน้าเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องประเมินมิติ หรือขนาดของรถและขนาดช่องว่างพื้นที่ที่จะนำรถเข้าจอด พร้อมด้วยช่องว่างที่เหลือเพื่อหักเลี้ยวด้วย


ข้อมูลจาก นิตยสาร LISA

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ทัศนศึกษาศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สัมนา เรื่อง 3.9G

หัวข้องานในครั้งนี้คือ “3.9G Thailand Human D.N.A” ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ ก.ท.ช.มีความประสงค์ที่จะนำเสนอเทคโนโลยี ในรูปแบบที่ก้าวหน้ามากขึ้น สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งานมากขึ้น โดย D.N.A นั้น มีความหมายว่า D = Devices(อุปกรณ์),N = Network(เครือข่าย),A = Application(โปรแกรมต่างๆ)

สำหรับเครือข่าย 3.9G นั้น ถือว่าอยู่ในช่วงเครือข่ายการสื่อสาร ยุคที่3 (1G, 2G 3G – 3.9G) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการใช้งานสูงมาก ซอฟต์แวร์และ แอพพลิเคชั่น สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ในหลายสาขาอาชีพ เช่น แพทย์ หรือ อาจารย์ โดยเมื่อเทียบความแตกต่างของเทคโนโลยี 3G กับ 3.9G แล้วนั้น พบว่า ต่างกันมากมาย เริ่มตั้งแต่เครือข่าย 3G มีความเร็วในการสื่อสารมากที่สุด คือ 2 Mbps ส่วน 3.9G นั้น มีมากถึง 42 Mbps หรือ กว่า 20 เท่า และเมื่อความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลมีมากขึ้น ทำให้คุณภาพในการให้บริการดีขึ้น เช่น บริการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถปฏิเสธได้ ว่าอินเตอร์เน็ตมีความสำคัญมาก และถ้ามีบริการที่รวดเร็วขึ้น ชีวิตก็ดีขึ้นตามไปด้วย

ส่วนตัวผมซึ่งได้เข้าร่วมการทัศนศึกษาครั้งนี้ด้วย รู้สึกประทับใจในการนำเสนอเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้รับฟังการบรรยาย ได้รับชมภาพยนตร์สั้น เกี่ยวกับเรื่องของ 3.9G เรื่อง “ใกล้” ได้เดินเที่ยวชมงานในหลายๆบู๊ท จากหลายๆบริษัทด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น Truemove นั้น ก็ได้นำเสนอในเรื่องของอุปกรณ์ที่สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น iphone หรือ ipad ซึ่งผมได้ทดลองเล่น ipadด้วยตัวเอง

สำหรับ แอพพลิเคชั่น ที่รู้สึกสนใจในตัว ipad นี้ คือ Star Walk ที่สามารถดูดวงดาวได้ และมีรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับกลุ่มดาวที่เราสนใจ หรือจะเป็น Element ตารางธาตุ ซึ่งมีรูปประกอบ พร้อมข้อมูลมากมาย และสามารถที่จะรู้ได้ ว่าถ้าผสมธาตุใดๆแล้วจะเป็นอย่างไร แต่น่าเสียดายที่ ทั้งหมดนั้น ยังเป็นภาษาอังกฤษ และยังมีแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจอีกตัว คือ Heart Monitor ซึ่ง จะวัดระดับการเต้นของหัวใจเพียงแค่เปิดโปรแกรมแล้วแนบกับข้อมือ ก็สามารถรู้ระดับการเต้นของหัวใจได้

ในบู๊ทของ DTAC นั้น มีคอนเซปต์ คือ Disco 3942 นั้นคือ เปิดดาวน์โหลดโชว์สดๆวัดความเร็วของเทคโนโลยีนี้ 39 คือ 3.9G 42 คือ ความเร็วในการดาวน์โหลด 42 Mbps มีการจัดบู๊ทออกมาน่าสนใจในแนว ดิสโก้ และมี คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรจากรายการ แบไต๋ไฮเทค มาให้ความรู้ด้วย

ในบู๊ทของ MCOT นำเสนอเรื่องการ ออกอากาศสดด้วยการใช้ เทคโนโลยี Multiple touchsceen นั้นคือ เราสามารถที่จะใช้มือกดลงบน point ต่างๆ บนอากาศ แต่สามารถlinkไปที่ระบบได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างที่เห็นบ่อย เช่น การพยากรณ์อากาศ

ส่วนบู๊ทอื่นๆ ก็มีการนำ อุปกรณ์ต่างๆมาโชว์ เช่นรถแข่ง หุ่นยนต์ขนาดเล็ก ที่เขียนโปรแกรมโดยนักศึกษา หรือ บู๊ทที่ขายสินค้าใหม่ๆ เช่นมือถือ หรืออุปกรณ์ที่รองรับระบบการทำงาน 3.9G

สรุปคือ งานนี้มีความน่าสนใจมาก เพราะมีความเกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไปมาก เกี่ยวกับความเจริญของประเทศชาติเลยทีเดียว เพราะการมีเทคโนโลยีที่สูงในการทำงาน สามารถที่จะทำให้ไม่พลาดในการทำธุรกิจ นั่นจะส่งผลให้ประเทศชาติสามารถที่เจริญทัดเทียมต่างชาติได้ แต่ยังไม่ทราบว่าอีกนานไหม ถึงจะได้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ทั้งที่ลาวและกัมพูชามี 3Gใช้กันแล้ว

ข้อมูลต่างๆได้มาจากการเยี่ยมชมสถานที่ด้วยตนเอง และ จากเอกสารต่างๆที่แจกภายในงาน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ญี่ปุ่นเปิดตัวมือถือหุ่นยนต์ "Gundam"

หลังจากยั่วน้ำลายผู้บริโภคเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา SoftBank Mobile ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออันดับ 3 (สมาชิก 25 ล้านราย) ในญ๊่ปุ่นก็ได้ออกมือถือรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับธีม "Gundam" ซึ่งเป็นซีรียส์การ์ตูนที่มีสาวกชื่นชอบมากมายทั้งในญี่ปุ่น และประเทศต่างๆ งานนี้แฟนพันธุ์แท้ Gundam ย่อมไม่พลาดที่จะหามือถือรุ่นนี้มาเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน



ข้อมูลทางด้านเทคนิคของ Gundam Phone นอกเหนือจากดีไซน์ตัวเครื่องที่ใช้วัสดุที่มีสีสันคล้ายกับ body และโล่ห์ของหุ่นกันดั้มแล้ว Gundam Phone รุ่นนี้เป็นการ mod มือถือ Sharp 945SH ที่มีหน้าจอVGA 3.2 นิ้ว กล้องถ่ายรูป 12.1 ล้านพิกเซล สามารถบันทึกวิดีโอไฮเดฟ 720p มีจูนเนอร์รับ Digital TV ในตัว เชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth สามารถเชื่อมต่อกับ HDTV ด้วยพอร์ต HDMI ทำงานในระบบ GSM มีไมโครโฟน 2 ทิศทาง เพื่อบันทึกเสียงในระบบสเตริโอให้มิติเสียงที่บันทึกซ้ายขวาที่แตกต่างกันได้ Gundam Phone ยังกันน้ำได้อีกด้วย สเป็กสมกับเป็นมือถือหุ่นยนต์นักรบอวกาศที่แสนคลาสสิกตัวนี้ไหมล่ะครับ



สำหรับมือถือกันดั้มรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหุ่นจำลอง Gundam ที่สามารถถอดชุดเกราะแต่ละส่วนออกมาให้เหลือแค่โครงสร้างเปลือยเปล่าได้ โดยคุณสามารถนำโมเดล Gundam ไปประกอบกับแท่นชาร์จที่ออกมาแบบมาพิเศษอีกด้วย ดูเท่มากๆ เลย ส่วนหน้าจอของมือถือ เมนู และอินเตอร์เฟซต่างๆ จะใช้ธีม Gundam โดยเฉพาะซาวด์เอฟเฟกต์ต่่างๆ จะเป็นเสียงที่ได้ยินจากในซีรียส์การ์ตูนเรื่องนี้ทั้งสิ้น เห็นแล้วก็อดใจไม่ไหวอยากได้สะสมไว้สักตัวเหมือนกันนะเนี่ย


ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

การตกปลาแบบ Jigging



การตกปลาทะเล แบบขว้างเหยื่อปลอมผิวน้ำในแนวราบ (Horizontal Surface Popping) และการตกปลาด้วยเหยื่อปลอมโดยการกระตุกเหยื่อในแนวดิ่ง (Vertical Jigging) กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเราอย่างกว้างขวาง สิ่งที่เป็นข้อดีอย่างเห็นได้ชัดก็คือ นักตกปลาบ้านเราได้มีการพัฒนาการตกปลาไปสู่อีกขั้นหนึ่ง จากแต่ก่อนที่เคยใช้แต่เหยื่อจริงไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ในการตกปลาหน้าดิน กลางน้ำและผิวน้ำ กับการลากเหยื่อปลอมขณะเรือวิ่ง (Trolling)

แท้ที่จริงแล้วการตกปลาทั้งสองแบบข้างต้นที่เรียกกันสั้นๆว่า Popping และ Jigging นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ นักตกปลาอาชีพที่อยู่ใกล้ทะเลฝั่งอันดามัน แถวๆ นางย่อน อำเภอคุระบุรี หรือนักตกปลาแถวๆจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต บางส่วนก็มีการตกปลาด้วยวิธีนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เป็นกลุ่มเล็กๆ ครั้นเมื่อมีนักปลาจากต่างชาติ เช่นจากญี่ปุ่น และสิงค์โปร์เข้ามาตกปลาในบ้านเรามากขึ้น ในระยะหลังๆนี้ได้นำเอาวิธีการตกปลาทั้งสองแบบมาเผยแพร่ และกระแสก็ได้เป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็ว จะสังเกตได้ว่าขณะนี้ ได้มีเรือบริการตกปลาแบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเรือส่วนใหญ่จะมีที่จังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต เรือเหล่าจัดพื้นที่ด้านหน้าและด้านท้ายเรือโล่งไม่มีหลังคาและเสามาวางให้เกะกะ ส่วนของที่บังคับเรือจะอยู่ชั้นบน เพื่อให้นักตกปลาได้ใช้พื้นที่มากขึ้น

ส่วนตัวของผู้เขียนเองนั้นต้องออกตัวก่อนว่ายังมีประสพการณ์ในเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย เคยลงเรือตกปลาโดยวิธี Popping และ Jigging ที่ระนองกับเรือไต๋โท สี่ห้าครั้งเมื่อสองปีที่แล้วและเรือไต๋ลือที่ท่าทับละมุ จังหวัดพังงาปีที่แล้วสามครั้ง ก่อนหน้านั้นห้าหกปีก่อนเคยตกปลาแบบ Jigging กับเรือไต๋แป๊ะที่สิมิลัน ครั้งเดียวครั้งนั้นทริปก่อนหน้าผู้เขียนมีนักตกปลาจากญี่ปุนตกปลากับเรือต๋แป๊ะแบบ Jigging อย่างเดียว ผมเห็นปลาที่พวกเขารอขายในตอนเช้าร่วมๆห้าร้อยกิโลกรัมในจำนวนนั้นมีปลาสาระพัด ทั้งกะมงชนิดต่างๆทั้งกะมงพร้าว กะมงจุดฟ้า กะมงตาเพชร กะมงแก้มบาง ทูน่าต่าง เก๋า เรนโบว์ สาก อินทรี วาฮู โฉมงามและอื่นๆ แถมนักตกปลาต่างชาติพวกนั้นยังให้เหยื่อแก่ผู้เขียนสามสี่ตัว เป็นโลหะยาวๆคล้ายสปูน แต่มีน้ำหนักมาก ผมให้ไต๋แป๊ะสอนวิธีใช้ให้ ตกอย่างไรก้ไม่ได้ตัวทั้งที่พยายามอยู่ครึ่งค่อนวัน ตอนนั้นเลยเห็นว่าเอาดีกับงานนี้ไม่ได้แน่ๆ จนลืมเลือนไป มาสองปีที่แล้วเมื่อได้มีโอกาสอีกครั้ง ทั้ง Popping และ Jigging คราวนี้ชักจะได้ตัว ก็เลยต้องหันมาศึกษาเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง

พื้นฐานของการตกปลาแบบ Jigging

Jigging แปลความหมายโดยรวมๆหมายถึง การกระตุก ส่วนการตกปลาแบบ Jigging หมายถึงการตกปลาที่ใช้เหยื่อ Jigs ซึ่งเหยื่อที่ว่าสามารถทำจากวัสดุแบบแข็งจำพวกโลหะเช่นทองเหลือง ตะกั่ว เป็นต้นหรือจะทำด้วยวัสดุนิ่มจำพวก พลาสติคนิ่ม ซิลิโคน หรืออาจผสมผสานกันก็ได้โดยเลียนแบบเหยื่อจริงจากธรรมชาติ เช่นปลา กุ้ง ปลาหมึก เป็นต้น ส่วนเทคนิคการตกนั้นทำได้โดยการสร้างความเคลื่อนไหวให้กับตัวเหยื่อ หรือ “Motion” ให้เลียนแบบเหยื่อธรรมชาติ เช่นการเคลื่อนไหวของกุ้ง การว่ายน้ำของปลาหมึก ปลาเป็น หรือปลาที่กำลังได้รับบาดเจ็บ ซึ่งการสร้างความเคลื่อนไหวหรือ Motion นั้นทำได้โดยใช้คันเบ็ดกระตุก และใช้รอกเป็นตัวเก็บสายเพื่อให้เหยื่อเกิด Action ตามที่ต้องการ ดังนั้นการสร้าง Motion ให้เหยื่อเกิด Action ย่อมทำได้หลากหลายรูปแบบซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของเหยื่อ แบบต่างๆ และตามลักษณะการตกปลาในระดับความลึกของน้ำที่ต่างกัน สำหรับบ้านเรานิยม Jigging สำหรับตกปลาหน้าดิน (Jigging for bottom fish) และ Jigging สำหรับปลากลางน้ำในทะเลเปิด (Offshore jigging)

Jigging สำหรับปลาหน้าดิน การ Jigging ประเภทนี้เหมาะกับการตกปลาที่น้ำไม่ลึกมากนัก เทคนิคการสร้างความเคลื่อนไหวให้กับเหยื่อเพื่อให้เกิด Action ทำได้โดยการกระตุกเหยื่อขึ้นลงในแนวดิ่ง ในจังหวะเร็วช้า ต่างๆกันคล้ายๆกับการโสกเหยื่อด้วยชุดเบ็ด ชักโง้ง หรือที่เรียกติดปากกันว่า “:ซาบีกิ” การสร้าง Motion ให้กับเหยื่อ Jigs ขึ้นลงในแนวดิ่ง (Vertical Jigging)ทำได้โดยการปล่อยเหยื่อ Jigs ลงสู่พื้นล่างของน้ำจากนั้นกระตุกคันเบ็ดขึ้นแล้วเก็บสายเข้าไปในรอก จากนั้นก็ลดคันเบ็ดลงแล้วกระตุกคันขึ้นเก็บสายเข้ารอก ทำซ้ำๆที่ความเร็วต่างๆกันจนเหยื่อขึ้นมาถึงบริเวณกลางน้ำ แล้วค่อยปล่อยเหยื่อลงสู่พื้นน้ำหน้าดินอีกครั้ง ซึ่งการตกปลาแบบนี้หวังผลกับปลาหน้าดิน เช่นปลาเก๋า ปลากะพงแดง ปลากะมงตาเพชร ปลาโฉมงามและปลาชนิดอื่นๆ

Jigging สำหรับปลากลางน้ำในทะเลเปิด การ Jigging ประเภทนี้เหมาะกับการตกปลาน้ำลึกในทะเลเปิดหรือที่บ้านเราเรียกกันว่า “ ชายร่อง” หรือ “ไหล่ทวีป” ที่เน้นปลางกลางน้ำเป็นหลัก เทคนิคสร้างความเคลื่อนไหวให้กับเหยื่อ Jigs เพื่อให้เกิด Action อาจจะใช้วิธีเดียวกันกับวิธีตกปลาหน้าดินคือกระตุกขึ้นลงในแนวดิ่ง หรืออาจจะผสมผสานวิธีการอื่นๆเพิ่มเติมเช่นการสร้างความเคลื่อนไหวในแนวเฉียงเป็นต้น ซึ่งเหยื่อที่เลือกใช้จะมีน้ำหนักน้อยกว่าเหยื่อแบบหน้าดินที่มีความลึกและความแรงของกระแสน้ำเท่ากัน ทั้งนี้วิธีการตกทำได้ดดยการปล่อยเหยื่อ Jigs ลงสู่ระดับ สองในสามของความลึกของน้ำ จากนั้นค่อยสร้างความเคลื่อนไหวกับเหยื่อจนถึงผิวน้ำ ซึ่งการตกปลาวิธีนี้หวังผลกับปลาหลากหลายชนิดเช่น ปลาตระกูลทูน่า สำลีน้ำลึก ปลาช่อนทะเล ปลาอินทรีย์ ปลาสาก และปลาอื่นๆ

นอกจากนั้นยังมี Jigging ประเภทอื่นๆที่บ้านเราไม่ค่อยนิยมใช้กันเช่น Jigging แบบลอยน้ำ (Drift Jigging) แต่ทั้งนี้ การ Jigging ที่ดีจะเลือกเหยื่อ Jigs ให้เหมาะสมกับสภาวะการตกปลาแบบต่างๆ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงน้ำหนักและสีสันของเหยื่อ ให้เหมาะสมกับความลึกและความแรงของกระแสน้ำไหล รวมทั้งความใส ขุ่นของน้ำ โดยเหยื่อนั้นจะต้องมีน้ำหนักมากพอที่จะสร้างความเคลื่อนไหวในแนวดิ่ง และสว่างพอที่จะให้ปลามองเห็นเหยื่อได้

องค์ประกอบของการตกปลาแบบ Jigging
การตกปลาแบบ Jigging ให้สัมฤทธิ์ผลได้นั้นมีองค์ประกอบอยู่หลายอย่างนอกเหนือจากวิธีการตกที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว นักตกปลาจะต้องจัดหาหรือเลือกใช้อุปกรณ์ ให้เหมาะสมเช่น ตัวเหยื่อ ตัวเบ็ด รอก คันเบ็ด สายที่ใส่ในรอก และวิธีการประกอบ เช่นวิธีผูกสายหน้า วิธีผูกเบ็ด และรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งจะได้กล่าวถึงพอเป็นสังเขปดังนี้



อุปกรณในการตกปลาแบบ Jigging

เหยื่อ Jigs ดังที่ได้เกริ่นมาข้างต้นแล้วว่าเหยื่อ Jigs นั้นสามารถผลิตจากวัสดุที่เป็นโลหะแบบแข็ง และสามารถผลิตจากวัสดุแบบอ่อน หรืออาจจะผสมผสานระหว่างวัสดุทั้งสองแบบได้ เหยื่อ jigs นั้นสามารถนำไปใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งน้ำตื้น น้ำลึก สามารถขว้าง และแม้กระทั่งลากก็ยังใช้ได้ แต่เหยื่อ Jigs นั้นมีข้อจำกัดตรงที่เหยื่อ Jigs ไม่สามารถเลียนแบบเหยื่อจริงได้เหมือนกับเหยื่อ Plugs และ Spinners ที่มีการสร้าง Action ในตัวเองได้ เมื่อมีการลากเหยื่อ ดังนั้นการสร้าง Action ให้กับตัวเหยื่อ Jigs จะต้องทำโดยการสร้าง Motion หรือสร้างความเคลื่อนไหวให้กับตัวเหยื่อโดยการกระตุกที่ความเร็วต่างๆกันซึ่งจะต้องอาศัยคันเบ็ดและรอกเป็นตัวช่วย การเลือกใช้เหยื่อ Jigs ควรพิจารณาดังนี้

- ส่วนหัวของเหยื่อ Jigs นั้นจะต้องสร้างจากวัสดุที่เป็นโลหะให้มีความแข็งแรงสามารถทนต่อการกัด ของปลาไม่ให้ขาดวิ่นได้ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่ปลาจะเข้าชาร์ตเหยื่อบริเวณส่วนนี้มากกว่าส่วนอื่นๆ

- ลำตัว Body) ของเหยื่อ Jigs สามารถทำจากวัสดุใดๆก็ได้ให้มีรูปร่างและขนาด เลียนแบบเหยื่อ จริง เช่นทำจากโลหะเลียนแบบตัวปลา ทำจากพลาสติค เลียนแบบกุ้ง หรือปลาหมึก เป็นต้น สำหรับบ้านเรานิยมใช้เหยื่อที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 – 350 กรัม

-- ตัวเบ็ดนิยมใช้เบ็ดก้านสั้นแบบหนา เน้นความแข็งแรงเป็นหลักซึ่งขนาดของตัวเบ็ดจะต้องสัมพันธ์กับขนาดของตัวเหยื่อโดยทั่วๆจะมีขนาดตั้งแต่ 2/o-10/o การผูกตัวเบ็ดเข้ากับเหยื่อจะใช้สายเชือกถัก หรือสาย ไดนีมา หรือสายเคฟล่า ขนาดตั้งแต่ 100-200 ปอนด์ ผูกเข้ากับตัวเบ็ดและเหยื่อ 1 ถึง 2 ตัว ผูกบริเวณส่วนหัว และส่วนล่างก็ได้ แต่ถ้าใช้เบ็ดตัวเดียว ก็จะผูกที่ส่วนหัวของเหยื่อ

- ขนาดของตัวเหยื่อ จะต้องคำนึงถึงความลึกและความแรงของกระแสน้ำ น้ำหนักของตัวเหยื่อจะต้องมากพอที่จะสร้างความเคลื่อนไหวในแนวดิ่งได้

- ประเภทของเหยื่อ Jigs ตามการใช้งานในเวลาต่างกันเช่นเหยื่อ Jigs สำหรับกลางวันและเหยื่อ Jigs สำหรับกลางคืนอีก เหยื่อ jigs สำหรับงานตกปลากลางคืนนั้นนิยมใช้เหยื่อ Jigs แบบให้สีเรืองแสงบนตัวเหยื่อ ก่อนใช้จะต้องทำการฉายแสงลงบนตัวเหยื่อซึ่งทำได้โดยการรมเหยื่อกับแสงไฟ หรือใช้สปอร์ตไลท์ฉายไปที่ตัวเหยื่อ ก่อนที่จะนำไปใช้งานทั้งนี้เพื่อต้องการให้ปลามองเห็นตัวเหยื่อในที่ที่ไม่มีแสงสว่าง

คันเบ็ดและรอก คันเบ็ดและรอกที่สามารถนำไปใช้กับงานตกปลาแบบ Jigging นั้นสามารถใช้ได้ทั้งชุดแบบสปินนิ่ง และชุดเบทคาสติ้ง หลักการเลือกใช้คันและรอกจะต้องคำนึงถึงคุณสมบัติดังต่อไปนี้

คันเบ็ด ไม่ว่าจะเป็นคันแบบเบทคาสติ้ง หรือสปินนิ่ง
- น้ำหนักคันต้องเบา เพราะการตกปลาแบบ Jigging นักตกปลาจะต้องถือคันเบ็ดไว้ตลอดเวลา

- ความยาวที่เหมาะสม ระหว่าง 5 ฟุต ถึง 6 ฟุต 6 นิ้ว ถ้าสั้นกว่านี้จะสร้าง Action ให้กับเหยื่อได้ยาก และถ้ายาวกว่านี้นำหนักคันก็จะเพิ่มมากขึ้น คันเบ็ดที่ใช้จะเป็นแบบท่อนเดียว หรือคันแบบสองท่อนก็ได้ ในปัจจุบันบ้านเรานิยมใช้คันเบ็ดแบบสองท่อน โดยมีข้อต่อที่ส่วนบนของด้ามจับ (fore grip) ด้ามจับส่วนใหญ่จะใช้เป็นยาง EVA ที่มีน้ำหนักเบา

- ไกด์ จะต้องรองรับการเสียดสีของสายในรอก ที่ส่วนใหญ่จะใช้สาย PE ,Dyneema หรือสายเชือกถัก ซึ่งสายเหล่านี้จะไม่ลื่นเหมือนกับสายเอ็นทั่วไป ส่วนใหญ่วงไกด์ที่นิยมใช้กัน จะมีวงในเป็นซิลิคอน คาร์ไบท์ (SIC) นอกจากนั้นจะต้องพิจารณาขนาดของวงไกด์ตัวแรกให้มีขนาดใหญ่มากพอที่จะลดแรงเสียดทานของสายจากรอก ถ้าเป็นคันแบบสปินนิ่งโดยทั่วไปนิยมใช้วงไกด์ขนาด 40 มิลลิเมตร (เรียกย่อๆว่าไกด์เบอร์ 40) ส่วนไกด์ตัวอื่นๆนอกเหนือจากนั้นจะไล่เรียงกันจากใหญ่ไปหาเล็ก เช่น 40-30-25-20-16-12 เป็นต้นส่วนไกด์ตัวสุดท้ายที่เรียกว่าทิปทอปนั้นควรมีวงในไม่ต่ำกว่า 10 มิลลิเมตรหรือเบอร์ 10 ทั้งนี้เนื่องจากชุดปลายสายส่วนใหญ่จะใช้สาย Fluorocarbon หรือสายโมโนทั่วไป ขนาด 80-150 ปอนด์ต่อเข้ากับสายในรอก ซึ่งถ้าไกด์ตัวปลายหรือไกด์รองลงมามีขนาดเล็กจะทำให้สายหน้าสะดุดกับวงไกด์ได้ ส่วนคันแบบเบทคาสติ้ง ส่วนใหญ่จะใช้ไกด์ เรียงลำดับกันดังนี้ 25-20-16-12-12-12-10 เป็นต้น

- ความแข็งแรงของคัน จะต้องรองรับกับขนาดของสายในรอกได้ โดยส่วนใหญ่คันประเภทนี้จะบอกขนาดสายเป็น PE เช่นขนาด PE 4-6,5-8,6-10 เป็นต้นสำหรับบ้านเราส่วนมากนักตกปลาจะใช้คันเบ็ดที่รองรับสาย PE 4-6 และ 5-8 หากจะเทียบเคร่าๆเป็นปอนด์ จะอยู่ระหว่าง 20-40 และ 30-60 ปอนด์ เป็นต้น

รอก ไม่ว่าจะเป็นแบบเบทคาสติ้งหรือแบบสปินนิ่ง

- ความสามารถสูงสุดของเดรก (Max Drag) ที่สามารถหยุดสายไม่ให้ไหลออกจากรอก ทั้งนี้ความสามารถของเดรกจะสัมพันธ์โดยตรงกับความแข็งแรงของรอก กล่าวคือรอกที่มี Max Drag สูงจะมีความแข็งแรง และมีราคาสูง กว่ารอกที่มี Max drag ต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรอกรุ่นที่ดีที่สุดของแต่ละยี่ห้อไม่ว่าจะเป็น Stella ของ Shimano หรือ Saltica ของ Daiwa ในแบบสปินนิ่ง

- ขนาดของรอก จะต้องมีขนาดใหญ่พอที่รองรับสายในรอก โดยส่วนใหญ่นักตกปลาบ้านเราจะเลือกใช้รอกที่จุสายได้ไม่น้อยกว่า 200 เมตรสำหรับการตกปลาน้ำลึกเกิน 100 เมตร ซึ่งขนาดของรอกจะต้องคำนึงความลึกของน้ำเป็นหลัก

- อัตราทด (Gear Ratio) รอกที่เหมาะกับการตกปลาประเภทนี้ ควรจะมีอัตราทดสูง ทั้งนี้เพื่อการเก็บสายและการสร้าง Action ให้กับตัวเหยื่อทำได้ง่าย ซึ่งรอกเหมาะกับงานชนิดนี้ควรจะมีอัตราทด 5.0:1 เป็นต้นไป

- ตัวอย่างของรอกประเภทนี้ ถ้าเป็นแบบสปินนิ่งของ Shimano ได้แก่

Stella SW 8000 PG Mag Drag = 20 kg,Line Capacity PE 5=250 m.Gear ratio 5.0:1

Stella SW 10000 HG Mag Drag = 30 kg,Line Capacity PE 6=250 m.Gear ratio 6.0:1

Stella SW 20000 PG Mag Drag = 30 kg,Line Capacity PE 8=350 m.Gear ratio 4.4:1

นอกจากนั้นยังมีรุ่นรองๆลงของ Shimano ที่ผลิตขึ้นมาเพื่องานนี้โดยตรง เช่น Twinpower 6000-8000 PG, Biomaster 6000-8000 PG,Ultegra 6000-8000 PG และ Navi 6000-8000 PG เป็นต้น

ส่วนตัวอย่างของรอกในแบบ เบทคาสติ้ง ของ Shimano ได้แก่

Jigger NR 2000P Mag Drag = 7 kg,Line Capacity PE 5=220 m.Gear ratio 5.1:1

Jigger 3000P Mag Drag = 7 kg,Line Capacity PE 6=330 m.Gear ratio 5.1:1

นอกจากนั้นยังมีรุ่นรองๆลงของ Shimano ที่ผลิตขึ้นมาเพื่องานนี้โดยตรง เช่น Trinidad 12-16,Torium 16-20

ส่วนยี่ห้ออื่นๆนั้นนักตกปลาสามารถเทียบเคียงจากคุณสมบัติข้างต้นได้

สายในรอกและสายหน้า

- สายที่ใส่ในรอกที่เหมาะการตกปลาแบบ Jigging ควรจะเป็นสายที่มีอัตราการยืดตัวต่ำหรือไม่มีเลย และควรมีหน้าตัดขนาดเล็กแต่สามารถรับแรงดึงได้สูง ส่วนใหญ่นักตกปลานิยมใช้สาย เชือกถัก เช่นสาย PE (Phycoerythrin) หรือสาย Spectra ,หรือ สาย Braid หรือสาย Dyneema เป็นต้น แต่ทั้งนี้สาย PE ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งสังเกตได้จากบริษัทผู้ผลิตทั้งคันเบ็ดและรอก ต่างได้ถือเอาความสามารถเช่นความจุของสายที่ระบุเป็นเบอร์ของ PE หรือคันเบ็ดที่ระบุความแข็งของคันเป็นขนาด PE สำหรับบ้านเรานิยมใช้สาย PE 4-8 หรือเทียบเคียงได้ประมาณ 30-60 ปอนด์

- สายหน้าที่เป็นส่วนต่อระหว่างสายในรอกและตัวเหยื่อ นิยมใช้สาย Fluorocarbon Leader หรือสาย Mono Leader ที่มีขนาด 80-150 ปอนด์ความยาวไม่น้อยกว่า 2 เมตร ทั้งนี้สาย Fluorocarbon จะทำให้กลมกลืนไปกับน้ำทำให้ปลามองไม่เห็น ประกอบกับสายชนิดนี้มีอัตราการยืดตัวต่ำ และไม่ขดเป็นวงทำให้การวัดปลามีประสิทธิภาพมากกว่าสายโมโนลีดธรรมดา ส่วนการต่อสายในรอก(PE)เข้ากับสายหน้าจะต้องใช้เงื่อนต่อสายที่มีความมั่นคงแข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่น เงือน GT knot และ เงื่อน Albright Knot เป็นต้น ส่วนการต่อสายหน้าเข้ากับเหยื่อ Jigs สามารถทำได้ทั้งการใช้เงื่อนต่อแบบ Rapala Knot หรือใช้ clip ที่มีขนาดแข็งแรงก็ได้



บทสรุป ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้พอจะเป็นแนวทางให้ผู้ที่สนใจการตกปลาแบบ Jigging ได้ทราบรายละเอียดและเทคนิคพื้นฐานได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้การตกปลาแบบ Jigging จะมีนักตกปลาอยู่จำนวนจำกัดและสถานที่ที่ได้รับความนิยมในเวลานี้จะมีเฉพาะทะเลฝั่งอันดามัน แต่ด้วยกระแสความนิยมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เขียนมั่นใจว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้คงจะมีการตกปลาแบบนี้ทางฝั่งอ่าวไทย ซึ่งจะว่าไปแล้ว ชนิดและปริมาณของปลาทางฝั่งอ่าวไทย ยังคงมีให้นักตกปลาได้ตกประลองฝีมือกันได้บ้างไม่มากก็น้อย

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง


ผมมีเรื่องๆ หนึ่งขออนุญาตนำมาเล่าให้ฟัง
เพื่อนชาวสถาปัตย์ท่านหนึ่งเป็นคนเล่าให้ผมฟังอีกที ผมฟังแล้วก็ชอบใจอยู่มาก
เพราะมันให้ข้อคิดทั้งคนเป็นนักเรียนและคนเป็นครูได้อย่างดี
เรื่องนี้สนุกครับ ถึงจะมีสูตรมีศัพท์ทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง
ลองฟังดูครับ
--------------------------------------------
โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้
"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"

รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง
(อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่น
และแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป
ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย)
นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า

"เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก แล้วก็เอาความยาวเชือก
บวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก"

ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับ
แต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วย
อาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก
นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า
คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
และคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้
และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า
คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน
แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ ดังนั้น
เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา
แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที
เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม
เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์

หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่
กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร
นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์
แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี
และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง
นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้

ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น, ความสูงของ
ตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2

หรือถ้าแดดแรงพอ
ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของ
เงาบารอมอเตอร์
จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่
ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้
ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่ง
ระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่าง
ของคาบการแกว่ง
เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล
คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ
ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ
จนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก
คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของ
ความดันก็จะได้ความสูง

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ
ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้

นักศึกษาคนนั้นคือ นีลล์ โบร์
ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922


credit : www.thaireaderclub.com

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

กฎบริษัทขำๆ (มีจริงคงไม่ไปทำที่นั่นล่ะครับ)

ทางคณะผู้บริหารบริษัท มีความยินดีจะแจ้งกฎบริษัทที่เพิ่งจะได้อนุมัติจากคณะกรรมการ หลังจากที่มีการประชุมใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทางคณะผู้บริหารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า.. พนักงานทุกคนคงจะยินดีปรีดาไม่น้อยกว่าคณะผู้บริหารเหมือนกัน ..

A: ยวดยานพาหนะ
-
ทางบริษัทอยากแนะนำให้พนักงานทุกคนเดินทางมาทำงานโดยใช้ยวดยานพาหนะที่เหมาะสมกับเงินเดือนของตัวเอง
*
หากทางบริษัทเห็นว่าพนักงานท่านใดขับรถยนต์ฮอนด้ามาทำงานทางบริษัทก็ตระหนักดีว่า ท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาปรับเงินเดือนขึ้นแต่อย่างใดเพราะท่านก็พอมี พอกิน อยู่แล้ว
* หากพนักงานท่านใดที่ขับรถยนต์เก่าเกินกว่า 10 ปี มาทำงาน หรือนั่งรถโดยสารมาทำงาน ทางบริษัท ก็ตระหนักดีว่า ท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาปรับเงินเดือนขึ้นแต่อย่างใด เพราะท่านเป็นคนที่มัธยัสถ์และเก็บเงินเก่งอยู่แล้ว
* หากพนักงานท่านใดที่ขับรถยี่ห้ออื่นมาทำงาน ท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาปรับเงินเดือนขึ้นแต่อย่างใด เพราะท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว

B: การลาพักร้อน
พนักงานทุกคนมีสิทธิ์ที่จะลาหยุดได้ 104 วัน ต่อปี คือวันเสาร์และวันอาทิตย์

C: พักกลางวัน
* พนักงานท่านใดที่ผอมสลิม สแลนเดอร์ จะได้รับอนุญาตให้พักเที่ยงได้ถึง 30 นาที เพื่อที่จะได้ทานอาหารอย่างเต็มที่และเต็มอิ่ม

* พนักงานท่านใดที่ดูไม่ผอม ไม่อ้วน กำลังพอดี จะได้รับอนุญาต ให้พักเที่ยง ได้ 15 นาที เพื่อจะได้ไม่มีเวลาทานมากจนเกินไป เดี๋ยวจะอ้วนขึ้นซะเปล่าๆ

* พนักงานท่านใดที่น้ำหนักเกินพิกัด จะได้รับอนุญาตให้พักได้ 5 นาที เพื่อว่าจะได้ดื่มอาหารจำพวกธัญญพืชหรือยาลดความอ้วน

D: การลาป่วย
ทางบริษัทจะไม่ยอมรับใบรับรองแพทย์อีกแล้ว เพราะบริษัทได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดีว่า หากพนักงานท่านใดป่วยแต่ยังสามารถไปหาแพทย์ได้ ก็สามารถไปทำงานได้เช่นเดียวกัน

E : การใช้ห้องน้ำ
ทางบริษัทได้สังเกต ค้นคว้า วิจัย ออกมาแล้วว่า พนักงานส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับห้องน้ำนานมากก ทางบริษัทจึงได้ติดตั้งเครื่องมือเอาไว้ หากพนักงานท่านใดใช้เวลาเกินกว่า 3 นาที เสียงเตือนระบบไซเรนท์จะดังขึ้น ม้วนกระดาษชำระจะถูกเก็บเข้ากล่อง ประตูจะเปิดออกโดยอัตโนมัติ และพนักงานท่านนั้นจะถูกถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
หากพนักงานท่านใดยังนั่งห้องน้ำ เกิน 3 นาทีเป็นครั้งที่สอง รูปที่ถูกบันทึกไว้จะถูกตีพิมพ์ ส่งไปยังตามบอร์ดต่างๆในทุกแผนกของบริษัท เพื่อเป็นการเตือนผู้ร่วมงานท่านอื่นๆ

F : การผ่าตัด
ตราบใดที่ท่านยังเป็นพนักงานบริษัทอยู่ ท่านไม่สามารถไปผ่าตัดได้ตามอำเภอใจ เพราะทางบริษัทต้องการท่าน และได้รับท่านเข้ามาทำงาน พร้อมกับอวัยวะที่ครบ 32 ประการ หากท่านไปผ่าตัดถือว่าท่านไม่ได้ทำตามสัญญาและข้อตกลงที่ได้ให้ไว้

G : การใช้ INTERNET
การใช้เน็ตจะถูกบันทึกไว้ในระบบของบริษัท หากทางบริษัทเห็นว่า
ท่านใช้เน็ตเป็นการส่วนตัว ทางบริษัทจะหักค่าใช้จ่ายนี้จากโบนัสประจำปีของท่าน (ถ้ามี) และหากในปีนั้นไม่มีโบนัสประจำปี ทางบริษัทก็จะหักค่าใช้จ่ายนี้จากเงินเดือนของท่านตามบันทึกของระบบ 73% ของพนักงานจะไม่ได้รับเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือน


***PS.. หากพนักงานท่านใด มีข้อสงสัย หรือต้องการจะปรึกษา ก็ให้ติดต่อที่ห้องผู้บริหารได้ทุกเมื่อ (ถ้าอยู่)**

credit : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=837

ถ้าคุณตอบถูก10ข้อ ..คุณเป็นอัจฉริยะ

มี 10 คำถามนะ ลองตอบดูภายใน 10 นาทีนะ

1. บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน มีกี่เดือนที่มี 28 วัน

2. ถ้าคุณหมอให้ยามา 3 เม็ด แล้วบอกให้คุณกินยาทุกๆครึ่งชั่วโมง
คุณต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะกินยาหมด

3. ฉันเข้านอนตอน 2 ทุ่ม แล้วตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอน 9 โมงเช้า
ถามว่าฉันจะได้นอนกี่ชั่วโมงก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดัง

4. เอา 30 หารครึ่ง แล้วบวก 10 จะได้คำตอบเท่าไหร่

5. ชาวนามีแกะ 17 ตัว ทุกตัวยกเว้น 9 ตัวตายหมด
ถามว่ายังมีแกะที่มีชีวิตเหลืออยู่กี่ตัว

6. ถ้าคุณมีไม้ขีดไฟเหลือเพียงก้านเดียว
แล้วต้องเข้าไปในห้องที่ทั้งหนาวทั้งมืด ในห้องนั้นมีฮีตเตอร์น้ำมัน
ตะเกียงน้ำมัน และเทียนไข คุณจะเลือกจุดอะไร

7. ชายคนหนึ่งสร้างบ้านด้วยไม้ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้ง 4 ด้าน
และหันบ้านไปทางทิศใต้ ถ้ามีหมีผ่านมา ถามว่าหมีตัวนั้นจะมีสีอะไร

8. หยิบแอปเปิ้ล 2 ลูกออกจากแอปเปิ้ล 3 ลูก ถามว่าคุณจะได้อะไร้าน

9. โมเสสเอาสัตว์ขึ้นเรือตอนวันสิ้นโลกไปชนิดละกี่ตัว

10. ถ้าคุณขับรถซึ่งบรรทุกคน 43 คนจากชิคาโกไปพิสเบอร์ก แล้วหยุดรับอีก 7
คนขึ้นมา แล้วหยุดจอด ให้คนลงที่เคลเวอร์แลนด์ 5 คน
จนมาถึงฟิลาเดอเฟียในอีก 20
ชั่วโมงต่อมา ถามว่าคนขับรถชื่ออะไร


ถ้าต้องการให้ได้ผลจิงๆ กรุณาทำให้เสร็จก่อนดูเฉลย

ขอย้ำ ทำให้เสร็จก่อนดูเฉลยยย


----------
-------------------
------------------------------
----------------------------------------
--------------------------------------------------

เฉลย
1. ทุกเดือน เพราะทุกเดือนก็มีอย่างน้อย 28 วันอยู่แล้ว
2. 1 ชั่วโมง เพราะถ้าคุณกินยาตอนบ่ายโมง เม็ดที่ 2
ก็จะกินตอนบ่ายโมงครึ่ง
และเม็ดที่ 3 ก็จะกิน ตอนบ่าย 2
3. 1 ชั่วโมง เพราะตั้งนาฬิกาปลุกตอน 9 โมง เข้านอนตอน 8 โมง
4. 70
5. 9 ตัวว
6. จุดไม้ขีดไฟก่อน
7. สีขาว เพราะถ้าบ้านหันไปทางทิศใต้ แสดงว่าบ้านต้องอยู่ทิศเหนือยโม
8. ได้แอปเปิ้ล 2 ลูก
9. ไม่ได้เอาไปเลย เพราะคนที่เอาสัตว์ขึ้นเรือไม่ใช่โมเสสแต่เป็นโนอาร์
10. ชื่อของคุณนั่นแหละ ก็คุณเป็นคนขับรถนี่จ๊ะ



ถ้าตอบถูก ......
10 ข้อ คุณเป็นอัจฉริยะ
9 ข้อ คุณเป็นสมาชิกของเมนซาณ
8 ข้อ วิศวกร
7 ข้อ นักศึกษามหาวิทยาลัย
6 ข้อ นักเรียนมัธยมปลายัย
5 ข้อ นักเรียนประถม
4 ข้อ ครูสอนนักเรียนมัธยม
3 ข้อ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย
2 ข้อ นักสืบ FBI
1 ข้อ สมาชิกสภาคองเกรส
0 ข้อ เป็นเรื่องธรรมดา


credit : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=630

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

อะไหล่รถยนต์:แท้ เทียบ เทียม ปลอม เลือกกันอย่างไรดี


เมื่อถึงกำหนดการซ่อมบำรุงรถยนต์ ผู้ที่ใช้รถที่ยังอยู่ในระยะประกันของทางบริษัทก็จำเ ป็นต้องเข้าใช้บริการที่ศูนย์บริการ ในส่วนของรถยนต์ที่พ้นกำหนดการรับประกันของบริษัท ผู้ใช้รถส่วนใหญ่จะประสบกับปัญหาการตัดสินใจว่าจะเลื อกใช้บริการที่ศูนย์บริการของรถยี่ห้อนั้นๆหรือจะใช้ บริการตามศูนย์บริการอิสระหรืออู่ทั่วไป

การใช้บริการที่ศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆน่าจ ะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้รถได้มากที่สุดเนื่องจา กการอบรมทางเทคนิคและเครื่องมือเฉพาะรวมถึงการสนับสน ุนด้านต่างๆจากบริษัทแม่ อย่างไรก็ตามการใช้บริการที่ศูนย์บริการจะมีค่าใช้จ่ ายสูงกว่าการใช้บริการตามศูนย์บริการอิสระหรืออู่ทั่ วๆไปในขณะที่คุณภาพงานซ่อมก็ไม่ใช่ว่าจะเหนือกว่าศูน ย์บริการอิสระเสมอไป เนื่องจากช่างที่ชำนาญงานมีประสบการณ์มากพอมักจะหาลู ่ทางออกมาเปิดอู่เองทำให้คุณภาพงานซ่อมได้มาตรฐานระด ับเดียวกับศูนย์บริการ อย่างไรก็ตามการใช้บริการที่ศูนย์บริการอิสระหรืออู่ นอก ผู้ใช้รถก็มักจะประสบปัญหาการเลือกใช้อะไหล่ว่าจะใช้ อะไหล่แท้ เทียบ เทียมหรือปลอมว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรทั้งด้านราค าและคุณภาพ

ในการผลิตรถยนต์ บริษัทรถยนต์จะจ้างบริษัทที่มีความชำนาญการผลิตอะไหล ่ส่วนต่างๆเพื่อผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัท เช่น ผ้าดิสเบรก ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น ผ้าดิสเบรกติดรถส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ AKEBONO หรือถ้าเป็นรถยุโรป ผ้าดิสเบรกติดรถส่วนใหญ่จะเป็น ATE’ นอกจากการผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์ บริษัทเหล่านี้ยังได้ผลิตสินค้าออกขายในแบรนด์ของตนเ องด้วย ดังนั้นผมจะแบ่งประเภทของอะไหล่ตามนี้

1.อะไหล่แท้
คืออะไหล่จากบริษัทรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ คุณภาพตามมาตรฐานของบริษัท ส่วนมากจะราคาสูงที่สุด

2.อะไหล่เทียบ
คืออะไหล่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้กับรถยนต์หลายยี่ห้อ เช่น ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์หัวฉีด ( ปั๊มติ๊กในถัง ) ของรถญี่ปุ่นและรถเกาหลีส่วนใหญ่จะมีลักษณะและขนาดเท ่ากันทำให้ใช้แทนกันได้ แต่อะไหล่แท้บางยี่ห้อแพง เราก็สามารถเลือกยี่ห้อถูกกว่ามาใช้แทนได้ คุณภาพก็จัดอยู่ในระดับอะไหล่แท้

3.อะไหล่เทียม
คือ อะไหล่ที่ผลิตโดยโรงงานผลิตอะไหล่ออกมาขายในยี่ห้อขอ งตนเอง ระดับคุณภาพจะมีทั้งคุณภาพต่ำ คุณภาพเทียบเท่าอะไหล่แท้และคุณภาพสูงกว่าอะไหล่แท้

อะไหล่เหล่านี้บางส่วนจะผลิตโดยโรงงานที่เป็นหรือเคย เป็นผู้ผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์ สินค้าเหล่านี้จะเป็นสินค้าตัวเดียวกับอะไหล่แท้เลย แต่เมื่อโรรงานเอาออกมาขายอาจจะต้องลบตราแท้บนสินค้า นั้นๆออก ตัวอย่างเช่นชุดแม่ปั๊มเบรก-คลัทช์สำหรับรถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้อ SEIKEN หรือพวกหวีคลัทช์-ผ้าคลัทช์รถญี่ปุ่นจะมี 2 ยี่ห้อหลักคือ AISIN กับ DAIKIN หรือ EXEDY ยี่ห้อเหล่านี้เป็นอะไหล่แท้ OEM หลายรุ่นราคาห่างจากอะไหล่แท้กันเป็นเท่าตัว สินค้าแบบนี้ส่วนใหญ่จะขายในราคาต่ำกว่าอะไหล่แท้เนื ่องจากไม่ต้องผ่านการบวกกำไรอีกทอดหนึ่งโดยบริษัทรถย นต์

อะไหล่บางส่วนผลิตโดยโรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตอะไห ล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์ คือสินค้าอัพเกรดต่างๆ เช่น ช็อคอับ คอยล์สปริง ผ้าเบรก เป็นต้น สินค้าเหล่านี้ส่วนมากมีคุณภาพและราคาสูงกว่าอะไหล่แ ท้

อะไหล่เทียมบางส่วนวางระดับสินค้าอยู่ในระดับต่ำด้วย ข้อจำกัดเรื่องราคาและเทคโนโลยีทำให้คุณภาพก็จะต่ำกว ่าอะไหล่แท้

4. อะไหล่ปลอม
ผลิตโดยโรงงานเล็กๆที่ขาดความสามารถในการแข่งขันกับส ินค้ายี่ห้ออื่นๆจึงใช้วิธีปลอมสินค้าที่ติดตลาดได้ร ับการยอบรับจากลูกค้า อะไหล่ปลอมจะมีทั้งการเลียบแบบอะไหล่แท้และอะไหล่ทดแ ทนยี่ห้อดังๆ เช่น ไส้กรองต่างๆ กลุ่มลูกหมากช่วงล่างรถญี่ปุ่น ที่พบบ่อยจะเป็นยี่ห้อ 555 หรือผ้าดิสเบรก AKEBONO เป็นต้น

การเลือกใช้อะไหล่เกรดไหนขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต ่ละท่านว่ามีงบประมาณและต้องการคุณภาพมาก-น้อยแค่ไหน สำหรับผม ถ้าเป็นอะไหล่ที่เกี่ยวกับภายในเครื่องยนต์และคุณภาพ ของมันมีผลต่อความเสียหายอื่นๆ เช่น สายพานไทมิ่งนี่ผมใช้อะไหล่แท้ครับเพราะสายพานไทมิ่ง แท้โดยเฉพาะรถญี่ปุ่น สเป็คของมันจะต่างจากสายพานไทมิ่ง OEM แม้ว่าจะผลิตมาจากโรงานเดียวกัน ทางโรงงานก็ยังระบุระยะเวลารับประกันไม่เท่าอะไหล่แท ้ ประมาณ 5-80,000 กม.เท่านั้น ส่วนรอกตั้งสายพานไทมิ่งเลือกใช้ยี่ห้อที่คุ้นหู เช่น รถญี่ปุ่นจะใช้ยี่ห้อ NSK KOYO NTN เป็นหลัก ส่วนรถยุโรปจะเป็น SKF FAG TIMKEN เป็นต้น รอกยี่ห้อเหล่านี้คุณภาพมาตรฐานเท่าแท้ คุณใช้อะไหล่ตามนี้จะได้คุณภาพเท่าอะไหล่แท้ศูนย์ในร าคาที่ประหยัดที่สุด

ในส่วนของระบบขับเคลื่อน เช่น ผ้าคลัทช์ หวีคลัทช์ รถญี่ปุ่นเลือกใช้ยี่ห้อ AISIN หรือ DAIKIN ราคาชุดคลัทช์แท้ของรถกระบะประมาณ 5,500-6,500 บาทแล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ ถ้าคุณเลือกยี่ห้อ AISIN หรือ DAIKIN ราคาอะไหล่ทั้งชุดพร้อมลูกปืนคลัทช์+ลูกปืนฟลายวิลล์ สำหรับรถกระบะเครื่อง 2.5 ลิตร ราคาไม่เกิน 3 พันบาทครับ ถ้าเป็นรถยุโรป ชุดยกคลัทช์จะเป็นยี่ห้อ SACHS หรือ LUK ราคาชุดละ 4-5 พันบาท ถ้าเป็นอะไหล่แท้ก็บวกขึ้นไปอีก 40-50 % ครับ

ส่วนอะไหล่ช่วงล่าง สำหรับรถญี่ปุ่น พวกลูกหมากก็สามารถใช้ยี่ห้อ 555 แท้ได้ หากเป็นรถยุโรปก็พิจารณายี่ห้อ TRW หรือ LEMFORDER คุณภาพใกล้เคียงอะไหล่แท้ ราคาประหยัดกว่า พวกบูชยางต่างๆใช้ยี่ห้อ RBI หรือ JAPA ก็ได้ อายุการใช้งานไม่เท่าอะไหล่แท้แต่ประหยัดกว่าเยอะ อะไหล่บางรุ่น ยกขายอาร์มซึ่งเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ที่สิ้นเปลืองเกิ นความจำเป็น

ช็อคอับแท้เป็นอะไหล่ที่สมรรถนะไม่สูงสุด เนื่องจาการเซ็ทช่วงล่างของรถยนต์ทั่วๆไปมักจะคำนึงถ ึงความนิ่มนั่งสบาย และด้วยข้อจำกัดเรื่องต้นทุนการผลิตช็อคอับ ทำให้รถยนต์เดิมๆจากโรงงานถูกลดสมรรถนะลง ดังนั้นเมื่อคุณจะเปลี่ยนช็อคอับ ผมแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องใช้ช็อคอับแท้ครับ ส่วนจะเลือกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการเรื่องสม รรถนะและงบประมาณของแต่ละท่าน ช็อคอับในตลาดอะไหล่ทดแทนมีให้เลือกเยอะครับ

ผ้าเบรกก็คล้ายกับช็อคอับคืออะไหล่แท้สามารถตอบสนองก ารใช้งานได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนขับรถเร็ว มีโอกาสได้ใช้เบรกที่ความเร็วสูงบ่อยๆ ผ้าเบรกแท้ย่อมไม่สามารถตอบสนองการใช้งานแบบนี้ได้ ดังนั้นคุณจึงต้องเลือกใช้ผ้าเบรกเกรดเฮฟวี่ดิวตี้เพ ิ่อคุณสมบัติการทนความร้อนสูงขึ้น



เครดิต http://www.hondaloverclub.com/forums/showthread.php?t=6913

คุณค่าของเวลา

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน เสียเพื่อนสักคนหนึ่ง

เวลาไม่เคยรอใคร เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด

ท่านจะรู้คุณค่าของเวลาเมื่อท่านแบ่งปันกับคนที่พิเศษสุดในชีวิตของท่าน


credit : www.narak.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การใช้เกียร์อัตโนมัติและปุ่มสวิทช์ควบคุมต่างๆ

เกียร์อัตโนมัติจะมีตำแหน่งบอกของแต่ละเกียร์ ซึ่งแต่ละเกียร์จะมีหน้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ตำแหน่งของเกียร์ได้ อย่างถูกต้อง และทุกครั้งที่จะทำการเปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่ง “P” หรือ “N” ไปยังตำแหน่งเกียร์อื่นๆ ควรทำการเหยียบเบรกไว้ด้วยทุกครั้ง และป้องกันการ กระตุกของตัวรถด้วย






เกียร์ “ P ” จอดและสตาร์ทเครื่องยนต์ ตำแหน่งนี้ใช้เมื่อจอดรถ ซึ่งจะล็อคเกียร์ได้ ป้องกันไม่ให้รถเลื่อนไหลและ สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้
เกียร์ “ R ” ถอยหลัง ตำแหน่งนี้จะทำให้รถเคลื่อนที่ถอยหลัง
เกียร์ “ N ” เกียร์ว่าง เมื่ออยู่ในตำแหน่งนี้ เครื่องยนต์จะไม่เชื่อมต่อกำลังกับล้อรถ ทำให้รถเลื่อนไหลไปมาได้ และสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้
เกียร์ “ D ” ขับ เมื่อเข้าอยู่ในตำแหน่งนี้รถจะเคลื่อนที่ออกไปข้างหน้า เมื่อคุณเหยียบคันเร่งขณะที่รถแล่นเร็วขึ้น เกียร์ก็จะเปลี่ยนขึ้นเองโดยอัตโนมัติ และเมื่อลดความเร็วระดับของเกียร์ก็จะลดเปลี่ยนเองตามความเร็ว
เกียร์ “ 2 ” เกียร์ 2 ในตำแหน่งนี้ เกียร์จะเปลี่ยนเฉพาะเกียร์ 1 และ 2 เท่านั้น เมื่อต้องการให้เครื่องยนต์ช่วยเบรกหรือต้องการขับลงเขา
เกียร์ “ L ” เกียร์ต่ำ ในตำแหน่งนี้ เกียร์จะทำงานที่เกียร์ 1 อย่างเดียว ใช้เมื่อต้องการการฉุดลากมากกว่าเกียร์ 2 หรือต้องการให้เครื่องยนต์ช่วยเบรกมากกว่าเกียร์ 2

ข้อควรระวัง ในการใช้เกียร์อัตโนมัติ
• ขณะที่รถหยุดนิ่งควรเหยียบเบรกก่อนเข้าเกียร์
• ก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์กลับทิศทางเดินหน้าหรือถอยหลังควรที่จะให้รถหยุดสนิทเสียก่อน
• ไม่ควรกดปุ่มปลดล็อคในการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งจะใช้เฉพาะเกียร์ที่ต้องกดปุ่มปลดล็อคเท่านั้น เช่น เกียร์ P,R,2 และ L

ข้อควรระวังที่ได้กล่าวถึงนี้ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของรถเอง เนื่องจากในขณะที่จะเข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง ควรให้รถจอดให้สนิทเสียก่อน เพื่อป้องกันผ้าคลัทช์ที่อยู่ในชุดเกียร์สึกหรอเร็วกว่าปกติ เพราะความแตกต่างระหว่างรอบของเครื่องยนต์ที่สูง อาจทำให้ผ้าคลัทช์ในชุดเกียร์ ์เกิดการลื่นไถลในขณะที่จะทำการจับยึดกับแผ่นรอง จึงทำให้เกิดการสึกหรอที่เร็วขึ้นและยังทำให้น้ำมันเกียร์สกปรกเร็วขึ้นด้วย ดังนั้นในการเปลี่ยน เกียร์ควรหยุดรถให้สนิทเสียก่อน พร้อมกับเหยียบเบรกไว้เพื่อป้องกันการกระตุก และให้คลัทช์ได้จับเต็มที่ก่อนก่อนที่จะทำการเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถหรือถอยหลังต่อไป

อีกเรื่องที่ข้อควรระวังได้กล่าวถึง คือ เรื่องการกดปุ่มปลดล๊อคเกียร์ ก็เพื่อป้องกันอันตรายจากการพลาดไปเข้าเกียร์ผิด เช่น ในขณะที่ต้องการจอดรถหรือจะเปลี่ยนจาก D ไป N หากเรากดปุ่มปลดล็อคเกียร์ไว้ด้วย อาจจะทำให้หลุดจากเกียร์ N ไปที่ R ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้ ดังนั้นเราต้องการจะเปลี่ยนจาก D ไป N ควรจะเลื่อนเกียร์ไปเลยไม่ต้องกดปุ่มปลดล็อค เพื่อไม่ให้เกียร์เลยไปที่ R หรือ P เพราะนอกจากจะทำให้เกียร์ชำรุด แล้วยังอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ขับขี่และผู้ที่อยู่ในรถรวมถึงบุคคลอื่นด้วย





ปุ่มสวิทช์โอเวอร์ไดร์ฟ [O/D OFF]
ปุ่มสวิทช์โอเวอร์ไดร์ฟ [O/D OFF] จะมีไว้เพื่อเป็นปุ่มกดสวิทช์โอเวอร์ไดร์ฟอ๊อฟ [O/D OFF] รถจะวิ่งได้ 3 เกียร์ คือเกียร์ 1 ถึงเกียร์ 3 [D3] และสวิทช์โอเวอร์ไดร์ฟออน [O/D ON] รถจะวิ่งได้ 4 เกียร์ คือเกียร์ 1 ถึงเกียร์ 4 [D4] แต่อย่างไรก็ตามควรให้โอเวอร์ไดร์ฟออน [O/D ON] เพื่อที่รถยนต์จะวิ่งได้ครบทุกเกียร์ หากโอเวอร์ไดร์ฟอ๊อฟ [O/D OFF] แสดงขึ้นมาที่หน้าปัทม์รถยนต์แสดงว่ารถจะวิ่งได้แค่ 3 เกียร์ คือ [D1,2,3] จะมีผลต่อการกินน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นเมื่อขับขี่ด้วยความเร็ว ปกติควรให้โอเวอร์ไดร์ฟออน [O/D ON] ไว้ตลอดเวลาเพื่อช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสวิทช์โอเวอร์ไดร์ฟอ๊อฟ [ O/D OFF ] จะใช้ก็ต่อเมื่อรถวิ่งที่ความเร็วปกติ เกียร์ [D4] และเมื่อเราต้องการที่จะเร่งแซงรถคันข้างหน้าเราจึงกดปุ่มสวิทช์โอเวอร์ไดร์ฟอ๊อฟ [ O/D OFF ] รถก็จะเปลี่ยนจากเกียร์ [D4] มาเป็น [D3] ทำให้รถมีกำลังที่จะวิ่งแซงรถคันข้างหน้า เมื่อเราวิ่งแซงรถคันข้างหน้าได้ แล้วเราควรยกเลิกโอเวอร์ไดร์ฟอ๊อฟ [O/D OFF] ให้เป็น โอเวอร์ไดร์ฟออน [ O/D ON ] รถก็จะเปลี่ยนจากเกียร์ [D3] มาเป็น [D4] รถก็จะวิ่งด้วยความเร็วปกติ





ปุ่มสวิทช์ PWR ECT
ปุ่มสวิทช์ PWR ECT จะมีไว้เพื่อ เมื่อเรากดปุ่ม PWR ECT นี้ จะทำให้ระยะเวลาในการเปลี่ยนเกียร์จาก D1--> D2--> D3--> D4 [ ขับขี่ที่ตำแหน่ง “D”] จะยาวขึ้นหรือเหมือนกับการลากเกียร์เป็นการขับขี่แบบสปอร์ จะทำให้มีการเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่องยนต์สูงกว่าปกติ จึงมีผลทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้น เหมาะสำหรับการขับขี่บน Hi-WAY เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ แต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำให้ใช้การขับขี่ในโหมด “ ปกติ ” เพื่อประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากโหมด “ ปกติ ” จะคำนวณปริมาณการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ให้เหมาะสมกับการใช้งานในรอบเครื่องยนต์นั้นๆ ซึ่งถูกควบ คุมโดยกล่องควบคุมเครื่องยนต์ตามความเหมาะสมกับภาระของเครื่องยนต์ และตามลักษณะของการขับขี่ขณะนั้น โดยประมวลผลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ จึงทำให้มีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในการขับขี่ มากกว่าการขับขี่ในโหมด PWR ECT





ปุ่มสวิทช์ TRC OFF
ปุ่มสวิทช์ TRC OFF จะมีไว้ใช้สำหรับยกเลิกการใช้งานของระบบป้องกันการตะกุยหรือล้อหมุนฟรีของรถยนต์ ซึ่งจะใช้ในกรณีที่รถติดหล่ม เพื่อไม่ให้มีการตัดกำลังจากเครื่องยนต์ ที่จะส่งไปยังชุดเกียร์และล้อ ทำให้ล้อสามารถหมุนได้อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้หลุดจากอุปสรรคนั้นได้ ซึ่งจะแตกต่างจากเฟืองท้ายแบบลิมิตเต็ดสลิป แต่ถ้าหากไม่มีสวิทช์ TRC OFF เมื่อรถติดหล่มก็จะไม่สามารถขึ้นจากหล่มได้ เนื่องจากเมื่อรถติดหล่มล้อรถก็จะหมุนฟรี ีระบบป้องกันล้อหมุนฟรีก็จะทำงานโดยการตัดกำลังของเครื่องยนต์ที่จะส่งไปยังชุดเกียร์ มีผลทำให้รถไม่มีกำลังที่จะขึ้นจากหล่มนั้นได้ โดยเมื่อจะใช้งานให้กดสวิทช์ TRC OFF ไฟก็จะติดที่หน้าปัทม์เรือนไมล์ ......เพื่อแสดงว่าระบบได้ยกเลิกการใช้งานระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแล้วจึงทำให้รถสามารถขึ้นจากหล่มนั้นได้

credit : http://www.phithan-toyota.com

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ป้ายแดง กับหลายเรื่องยุ่ง



แม้เป็นเรื่องที่เข้าใจกันทั่วไปว่า ป้ายแดง หมายถึงป้ายทะเบียนสีแดงตัวอักษรดำ ที่มีไว้สำหรับรถใหม่เอี่ยม ซึ่งอยู่ในช่วงรอจดทะเบียนเปลี่ยนเป็นป้ายทะเบียนจริง แต่ในความเป็นจริง ยังมีหลายเรื่องยุ่งที่น่าสนใจ

++ ป้ายแดงปลอม++

ป้ายแดงที่ถูกกฎหมาย ต้องออกจากทางราชการและมีสมุดคู่มือประจำรถควบคู่กันเสมอ คือ ป้ายแดง 2 แผ่นสำหรับติดรถด้านหน้าและด้านหลังกับสมุดคู่มือฯ อีก 1 เล่ม

ปัญหาป้ายแดงปลอมเกิดขึ้นจาก 2 กรณี คือ

1.ราชการผลิตไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่รถใหม่ขายดีมากๆ อย่างปี 2546 นี้ น่าจะมียอดขายรถทุกประเภทรวมถึงกว่า 500,000 คัน ในเมื่อรถขายดี แต่ไม่มีป้ายแดงให้ ก็ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายตั้งใจแก้ไขปัญหาโดย ไปสรรหาขอป้ายแดงจากหน่วยงานราชการในจังหวัดที่ยังพอมีเหลืออยู่ แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายมักง่ายจนเกิดเป็นกรณีที่ 2 คือ
2. เมื่อป้ายแดงขาดแคลนก็ไม่พยายามสรรหา หรือแม้ไม่ขาดแคลน แต่เอาง่ายเข้าว่า ซื้อป้ายแดงปลอมที่ผลิตขายกันทั่วไปในราคาป้ายละ 100-150 บาท

++ตรวจสอบอย่างไร++

ผู้ซื้อมีหน้าที่ปกป้องตัวเอง โดยดูที่ตัวป้ายแดง ทุกป้ายต้องมีตัวย่อนูน ขส ที่มุมด้านล่างขวา รถ 1 คันต้องใช้ 2 ป้าย เพื่อติดด้านหน้าและหลัง สมุดคู่มือประจำรถต้องเป็นของทางราชการ ระบุตัวหมวดอักษรและตัวเลขเดียวกับป้ายทะเบียนทั้งหมด ยังมีหน้ากระดาษและช่องเหลือสำหรับกรอกรายละเอียดการใช้รถอย่างน้อย 1-2 หน้า



++กฎเดิมยังบังคับใช้ครบ++

กรอกรายการใช้รถ ห้ามขับตอนมืด ถ้าจะขับตอนมืดต้องขออนุญาต กฎพื้นฐานเดิมของการใช้รถป้ายแดง ปัจจุบันยังมีการบังคับใช้ครบถ้วน โดยมีสาระสำคัญคือ
1. ทุกครั้งที่ใช้รถเดินทาง ต้องกรอกรายละเอียดในรายการใช้รถในสมุดคู่มือฯ ให้ครบถ้วน
2. ถ้าทำตามข้อ 1 แล้วจะสามารถใช้รถได้เฉพาะช่วงพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก (เวลากลางวัน) เท่านั้น (ไม่ใช่ 6.00-18.00น.)
3. หากจะใช้รถตอนมืด เวลาพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น (เวลากลางคืน) ไม่ว่าจะค่ำ ดึก หรือเช้ามืด นอกจากต้องทำตามข้อ 1 แล้วจะต้องขอรับอนุญาตจากนายทะเบียน (จะต้องมีลายมือชื่อนายทะเบียนของทางราชการในรายการใช้รถ) หากมีการฝ่าฝืนในข้อใด มีโทษปรับ

++ทำไมห้ามขับตอนมืด++

หลายคนสงสัย แต่เท่าทีสอบถามเจ้าหน้าที่ในปัจจุบัน (ซึ่งไม่ใช่คนออกกฎนี้) ได้รับคำตอบว่า เพราะป้ายแดงเป็นป้ายชั่วคราวที่สามารถหมุนเวียนนำไปใช้ได้ โดยการหมุนเวียนเปลี่ยนคันรถไม่ต้องขออนุญาตจากทางราชการ อีกทั้งยังมีสีเข้ม อ่านได้ยากตอนกลางคืน ดังนั้นหากเกิดเหตุอะไรไม่ชอบมาพากลตอนกลางคืน นอกจากจะอ่านเลขทะเบียนยากแล้ว ถ้าอ่านออก การติดตามหรือค้นหารถคันจริงที่ใช้ป้ายนั้นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ จะยุ่งยากกว่าการตามรถที่มีป้ายถาวรแล้ว

หลายคนบอกว่า ถ้าป้ายแดง อ่านยากตอนกลางคืน ก็น่าจะเปลี่ยนสีป้ายในกลุ่มนี้เพื่อให้ใช้งานได้ 24 ชม. ก็มีส่วนจริง แต่นั่นเป็นแค่ความเห็น เพราะล่าสุดยังไม่มีการพิจารณาแก้ไขกฎหมายนี้ ตราบใดที่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ประชาชนก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้จะล้าสมัยก็ตาม นอกจากนี้ ถ้ามองในแง่ดี การเข้มงวดการใช้รถป้ายแดงตอนกลางคืน ก็มีผลดีต่อการป้องการกันโจรกรรมบ้างเล็กน้อย เพราะรถใหม่ยังไม่จดทะเบียน มีแต่ป้ายแดง ยากต่อการติดตาม ถ้ามีการสลับป้ายทะเบียนหลังการโจรกรรม





++อนุโลม จนนึกว่าทำได้หรือกฎเปลี่ยน++

โดยเฉพาะประเด็นของการใช้รถป้ายแดงตอนมืด หลายคนคิดไปเองว่า กฎเลิกบังคับใช้แล้ว นึกว่าสามารถใช้งานได้ทั้งวันทั้งคืน เพราะเห็นรถป้ายแดงบ่อยๆ ตอนมืด แล้วก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวดจับกุมเลย ในความเป็นจริง กฎยังบังคับใช้ครบถ้วน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่อนุโลมให้ เพราะเห็นความจำเป็นในการใช้รถ เช่น คาบลู่คาบดอกในการเดินทาง ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด หรือออกจากที่ทำงานตอนเย็นยังไม่มืด แต่การจราจรติดขัดมาก มืดขณะที่รถคาอยู่บนถนนยังไม่ถึงบ้าน

นอกจากนั้นการอนุโลม ยังเกี่ยวข้องไปถึง การกรอกรายการใช้รถในเล่มทุกครั้งที่เดินทาง พบว่าน้อยครั้งมากที่ใครจะทำเช่นนั้น เพราะขี้เกียจ และเจ้าของป้ายแดงต้องขอเปลี่ยนสมุดคู่มือบ่อยมาก ถ้าใช้รถทุกวันและกรอกตามจริง ไม่กี่วันก็หมดเล่ม ต้องเสียค่าธรรมเนียมทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนใหม่ การอนุโลมในวงกว้าง ทำให้หลายคนคิดว่า ป้ายแดงใช้ได้ทั้งวันทั้งคืน และใช้ได้โดยไม่ต้องกรอกรายการใช้รถ การอนุโลมก็คือ อนุโลมจากผู้ถือกฎหมาย ไม่ใช่เป็นตัวบทกฎหมายเฉพาะกาลออกมา

ดังนั้นถ้าใครไม่ทำตามแล้วถูกจับกุม ก็ไม่สามารถร้องเรียนหรือโวยวายได้ จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายใหม่

++ชอบ/ไม่ชอบ ป้ายแดง++

บางคนคิดว่าการใช้รถป้ายแดงมีความเท่ ยิ่งใช้นานเท่าไรยิ่งดี อีกทั้งยังมีพลอยได้ไปถึงราคาขายต่อ หากยื้อใช้ป้ายแดงได้นาน หรือดีมากหากนานข้ามปี เพราะใบคู่มือจดทะเบียนจริง จะแสดงวันที่จดทะเบียนเท่านั้น จะใช้ป้ายแดงมากี่เดือนกี่ปี่ไม่เกี่ยว บางคนไม่ชอบใช้รถป้ายแดง เพราะถ้าใช้ตอนมืด จะต้องลุ้นว่าถ้าเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วจะได้รับการอนุโลมหรือไม่

ขั้นตอนการจดทะเบียนรถของทางราชการ สามารถเสร็จสิ้นได้ภายในไม่กี่วัน หรืออย่างช้าที่สุดไม่น่าเกินครึ่งเดือน ถ้าช้ากว่านั้นแสดงว่าปัญหาอยู่ที่ผู้ขายหรือผู้นำเนินการ ไม่ใช่ทางราชการ เช่น รอรวบรวมไปดำเนินการพร้อมกันหลายคัน หรือนำเอกสารของรถคันนั้นไปหมุนเวียนเป็นเงิน (บางกรณีหมุนเป็นเงินจนถูกยึด ไม่มีเอกสารมาจดทะเบียนเลยก็มี)


++สรุป ทำอย่างไร++

รับรถพร้อมป้ายแดงแท้ 2 แผ่น ติดรถที่ด้านหน้า-หลัง ต้องมีตัวย่อ ขส นูนที่มุมล่างของป้าย พร้อมสมุดคู่มือประจำรถ หมวดตัวอักษรเลขตรงกันทั้งหมด การไม่กรอกรายการใช้รถตามจริงลงในสมุดคู่มือทุกครั้ง จะได้รับการอนุโลมมากกว่ากรณีใช้รถตอนมืด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้ทันที และไม่สามารถเถียงได้ ผิดเต็มประตู เพราะกฎหมายยังบังคับใช้ตามเงื่อนไขเดิมอยู่

ถ้าจำเป็นต้องใช้รถป้ายแดงตอนกลางคืน ก็บอกได้ชัดเจนว่าว่า คุณกำลังทำผิดกฎหมาย พร้อมถูกจับและถูกปรับได้ทุกเมื่อ ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่จับ คือ อนุโลม ไม่ใช่ไม่ผิด และยากถ้าจะขับรถป้ายแดงให้ถูกกฎหมายตอนมืด เพราะต้องยุ่งยากไปให้เจ้าหน้าที่ราชการนายทะเบียนลงลายมือชื่อกำกับทุกครั้ง

ไม่ว่าทางราชการยุคก่อน จะมีเหตุผลใดในการไม่สนับสนุนให้ใช้รถป้ายแดงตอนมืด แต่กฎก็คือกฎ หากจะฝ่าฝืน ก็นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องทำใจ ที่คนไทยต้องทำตามหลายกฎหมายเดิมอันล้าสมัย




ที่มา : ผู้จัดการออนไลท์ วันที่ : 14-11-2008